วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เที่ยวลพบุรี ชมพระปรางค์สามยอด


จังหวัดลพบุรี มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งนอกจาก ทุ่งทานตะวัน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถ้ำเทวาพิทักษ์ แล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ วันนี้เราจึงจะพาเพื่อน ๆ ไปยลโฉมความอลังการและงดงามของ พระปรางค์สามยอด โบราณสถานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดกัน

          พระปรางค์สามยอด ตั้งอยู่บนเนินดินด้านตะวันตกของทางรถไฟ มีลักษณะเป็นปรางค์เรียงต่อกัน 3 องค์ มีฉนวนทางเดินเชื่อมติดต่อกัน พระปรางค์สามยอดเป็นศิลปะเขมรแบบบายน ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 สร้างด้วยศิลาแลง และตกแต่งลวดลายปูนปั้นที่สวยงาม เสาประดับกรอบประตูแกะสลักเป็นรูปฤาษีนั่งชันเข่าในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งเป็นแบบเฉพาะของเสาประดับกรอบประตูศิลปะเขมรแบบบายน ปรางค์องค์กลางมีฐาน แต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแ ละมีเพดานไม้เขียนลวดลายเป็นดอกจันสีแดง

          ด้านหน้าทางทิศตะวันออก มีวิหารสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ปางสมาธิที่สมบูรณ์ดี เป็นศิลปะแบบสมัยอยุธยาตอนต้น อายุราวพุทธศตวรรษที่ 20 แต่เดิมปรางค์สามยอดนี้คงเป็นเทวสถานของขอมในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ต่อมาได้ดัดแปลงเป็นเทวสถาน โดยมีฐานศิวลึงค์ปรากฏอยู่ในองค์ปรางค์ทั้งสามปรางค์

          จนกระทั่งถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงได้บูรณะปฏิสังขรณ์พระปรางค์สามยอดเป็นวัดในพุทธศาสนา แล้วสร้างพระวิหารก่อด้วยอิฐ ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาผสมแบบยุโรปในส่วนของประตูและหน้าต่าง ภายในวิหารประดิษฐานพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันยังคงประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง

          เปิด ให้เข้าชม ระหว่างเวลา 06.00-18.00 น. เว้นวันจันทร์-อังคาร อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 50 บาท หรือ สามารถซื้อบัตรรวม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างประเทศ 150 บาท โดยบัตรนี้สามารถเข้าชม วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พระที่นั่งไกรสรสีหราช พระปรางค์สามยอด และบ้านหลวงวิชาเยนทร์
          ทั้งนี้ บริเวณใกล้ ๆ กันริมทางรถไฟด้านทิศตะวันออกของพระปรางค์สามยอด ยังมี ศาลพระกาฬ เทวสถานเก่าของขอม สร้างด้วยศิลาแลงเรียงซ้อนกันเป็นฐานสูง จึงเรียกกันมาแต่ก่อนอีกชื่อหนึ่งว่า "ศาลสูง" ที่ทับหลังซึ่งทำด้วยศิลาทรายสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 วางอยู่ติดฝาผนังวิหารหลังเล็กชั้นบน ณ ที่นี้ได้พบหลักศิลาจารึกแปดเหลี่ยมจารึกอักษรมอญโบราณด้วย

          ส่วนด้านหน้าเป็นศาลที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2494 โดยสร้างทับบนรากฐานเดิม ที่สร้างไว้ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายในวิหารประดิษฐานพระนารายณ์ยืน ทำด้วยศิลา 2 องค์ องค์เล็กเป็นแบบเทวรูปเก่าในประเทศไทย องค์ใหญ่เป็นประติมากรรมแบบลพบุรี แต่พระเศียรเดิมหายไป ภายหลังมีผู้นำพระเศียรพระพุทธรูปศิลาทรายสมัยอยุธยามาสวมต่อไว้ เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป 


  ในบริเวณรอบศาลพระกาฬร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ จึงเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงกว่า 300 ตัว ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของจังหวัดลพบุรี กล่าวกันว่าเดิมบริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นกร่างขนาดใหญ่ มีลิงอาศัยอยู่ เมื่อมีคนนำอาหารและผลไม้มาแก้บนที่ศาลพระกาฬ ลิงป่าเหล่านั้นได้เข้ามากินอาหาร จึงเชื่องและคุ้นเคยกับคนมากขึ้น

          โดยมีตำนานเกี่ยวกับลิงลพบุรีว่าเป็น ลิงสามก๊ก (ฉบับลพบุรี) คือมีถิ่นอาศัยและหากินอยู่ใกล้กัน แต่กลับไม่ถูกกัน ซึ่งแบ่งออกเป็นสามก๊ก คือก๊กแรกจะอยู่ที่ศาลพระกาฬ ก๊กที่สองจะอยู่ที่พระปรางค์สามยอด ก๊กที่สามจะอยู่บริเวณอาคารและตึกร้านค้าต่าง ๆ ในตัวเมืองลพบุรีและสถานีรถไฟลพบุรี


ขอบคุณข้อมูลจาก 
ททท. 
 

ก๋วยเตี๋ยวอโยธยา สูตรต้มยำโบราณรสเด็ด

ในวันที่ได้ไปเที่ยวที่พัทยา ก็ได้แวะไปที่ตลาดน้ำ4ภาคครับ ก็เป็นครั้งแรกที่เคยมาที่นี่ มาถึงที่นี่ก็ดิ่งตรงเข้าไปเลยครับ อากาศที่นี่ดีครับ พื้นที่ติดริมน้ำ ผมเดินไปเรื่อยๆ ของขายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ ของที่ระลึก หรือจะเป็น ร้านอาหารต่างๆ เพียบไปหมดครับ ใครอยากเดินก็เดิน หรือจะนั่งเรือชมวิวก็มีนะ เป็นเรือพายแบบยุคสมัยเก่าเลยครับ แล้วก็ไม่ได้มีแค่นั้น ยังมีบ้านผีสิง ลานการแสดงต่าง ๆ ถือว่ามีครบเลย เหมาะกับชื่อ ตลาดน้ำ4ภาค



 ผมก็เดินไปตามทางเรื่อย ๆ ดูนู่น ดูนี่ ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แต่วันนั้นลำบากหน่อย ฟ้ามืดครึ้มเชียว เดินจนเรียกได้ว่าจะหลงกันเลยทีเดียว งงกับทางเหลือเกิน วนไปวนมา ก็หิวล่ะครับ เลยมองหาร้านอาหารซักร้าน แล้วก็ไปเจอกับร้านก๋วยเตี๋ยวอโยธยา ไม่รอช้าครับดิ่งไปเลย บรรยากาศร้านน่านั่งมากครับ ติดริมน้ำดีครับ วิวสวยเลยทีเดียว ไม่รอช้าครับ ก็เริ่มสั่ง ผมสั่ง"บะหมี่ต้มยำ" เห็นตรงป้ายบอก สูตร ต้มยำโบราณรสเด็ด เลยอยากจะลองดูซิว่าเด็ดจริงไหม

ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ต้มยำ

และนี่คือหน้าตาของ ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ต้มยำครับ มาถึงปุ๊บก็เริ่มลงมือเลย ผมชิมน้ำก่อนปรุง อื้อหือ! อร่อยมากครับ ไม่ต้องปรุงเลยยังได้ กลมกล่อม เปรี้ยว ๆ เส้นก็เหนียว นุ่ม มันๆ มีกากหมูด้วยครับ กรุบกรอบเข้ากันดีเลยล่ะครับ


ตอนแรกกินคนเดียว ตอนหลังเพื่อนอีก2อดใจไม่ไหว เลยต้องสั่ง

ถ้าคุณมาถึงที่นี่ อยากให้ลองเชิญแวะมากันนะครับ ก๋วยเตี๋ยวที่นี่เขารสเด็ดสมชื่อเลยครับ แถมราคายังถูกอีกด้วยนะครับ เพียงชามละ25บาทเองครับ ^^

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เที่ยวเมืองจำลองพัทยา


หลังจากที่ไปวัดญาณสังวรารามเสร็จแล้ว ในวันนั้นเราก็มาที่ เมืองจำลอง MINI SIAM เดินเข้ามานี่แบบ เหมือนเดินข้ามประเทศไปเรื่อยๆ สวยงามดีครับ ต้องกดชัตเตอร์กล้องตลอด เดินมาจุดนี้ถ่าย เดินมาจุดนี้ก็ถ่าย คือไม่ได้วางเลยครับ เดินเข้ามาเจอโซนยุโรป ก็ถ่ายครับ

ซิกแพคใครหนากว่ากันนะ?
ตอนนี้ผมอยู่ที่หอไอเฟลครับ
หอไอเฟล





เหมือนอยู่ที่โรมจริงๆ
เจอสาวแดนอียิปต์อ่ะ     






เมืองจำลองตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท หลักกิโลเมตรที่ 143 เลยสี่แยก ตลาดนาเกลือ ประมาณ 500 เมตร เป็น สถานที่รวบรวมของโบราณสถาน และสถานที่สำคัญ เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานพระราม 9 ปราสาทหินพิมาย ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีมินิยุโรป ซึ่งจำลองสถาปัตยกรรม ที่มีชื่อเสียง ของประเทศต่างๆ ทั่วภาคพื้นทวีปยุโรป และอเมริกา เช่นหอไอเฟล เทพี สันติภาพ แกรนแคนยอน ฯลฯ

 


เมืองจำลอง ก็เกิดขึ้นภายใต้แนวความคิดแบบเดียวกันนี้ โดยคุณเกษม เกษมเกียรติสกุล ซึ่งมีความสนใจ งานศิลปกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้มีโอกาสเดินทาง ไปทำธุรกิจ และทำท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ในหลายประเทศ และในส่วนนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่ได้ไปเยือนแล้ว เกิดความ ประทับใจ จนกระทั่งได้มีโอกาสไปเที่ยวชมที่ Madurodum ประเทศเนเธอแลนด์ และ Window on China ประเทศ ไต้หวัน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้จำลองสถานที่ และสถาปัตยกรรมที่สำคัญของโลกมารวบ รวมไว้ในอัตราส่วน1:25 เพื่อแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม จึงได้เกิดความคิดว่าในเมืองไทยก็มีศิลปะที่มีความ สวยงามไม่แพ้กันรวมทั้ง สถาปัตยกรรม และโบราณสถานทางประวัติศาสตร์อยู่หลายแห่ง  ซึ่งโอกาสที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จะสามารถไปเที่ยวชมในทุกสถานที่นั้นมีน้อยมากแต่ถ้าเรา สามารถรวบรวมสถานที่สำคัญ ๆ เหล่านี้มาจำลองรวมไว้ใน ที่เดียวกัน โดยยังคงรักษารายละเอียดไว้ได้เหมือน สถานที่จริง คงจะทำให้นักท่องเที่ยวรวมทั้งนักเรียน นักศึกษาที่ได้ ้เข้าไปสัมผัส ได้รับรู้คุณค่า และความสวยงาม ของสถาปัตยกรรมไทยได้มากขึ้น หลังจากที่เกิดแนวคิดนี้ คุณเกษม เกษมเกียรติสกุล ได้ใช้เวลากว่า 5 ปีใน การเดินทางไปสำรวจและศึกษาสถานที่ สำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ตลอดจนยังต้องเดินทางไปยังต่างประเทศ เพื่อศึกษา และรวบรวมงานศิลปกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ที่มีความโดดเด่น เพื่อนำสิ่งเหล่านั้นมา ถ่ายทอดผ่านผลงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ์ตามแนวคิดที่ได้ตั้งใจไว้ จนกระทั่งปี พ.ศ.2529 เมืองจำลองจึงเกิด ขึ้นภายใต้แนวคิดดังกล่าวที่ต้องการให้เป็นสถานที่ี่ท่องเที่ยวเชิงวิชาการในพื้นที่ 30 ไร่

 ข้อมูลที่มาของเมืองจำลอง

www.paiduaykan.com

วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี

วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี
 
 
 
  นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสมา วัดญาณสังวราราม เคยมีคนเล่าให้ฟังว่าเงียบสงบดี และสวยงาม แต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาสมาที่นี่เลย จนกระทั่งมีการออกทริปภายในห้องเรียน วารสาร เลยได้มาที่นี่ ซึ่งที่นี่เป็นวัดที่เงียบสงบมาก ร่มรื่น ต้นไม้เยอะ สวยงาม และที่สำคัญ กว้างมากๆ แต่ตอนช่วงที่ไปนั้นก็มีอุปสรรคอยู่พอสมควร ฝนเกิดเทหระหน่ำลงมา เลยไม่มีโอกาสได้เดินกันยาวๆเลย ความแปลกของที่นี่ เป็นวัดที่ไม่เหมือนวัดอื่นๆ เป็นวัดที่กว้าง และต้นไม้เยอะ ปกติคนเราจะนึกว่าวัดต้องแบบมีสีทอง วับๆ ถ้ามาที่นี่จะดูเหมือนไม่ใช่วัดเลยล่ะครับ สวยงามไปทุกๆด้าน ไม่ว่าจะตัววัดหรือต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวสดมากๆ
 
  • ประวัติของวัดญาณสังวราราม
 
 วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ตั้งอยู่ที่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอ
บางละมุง จังหวัดชลบุรี ชื่อของวัดนี้ตั้งตามสมณศักดิ์ เจ้าพระคุณสมเด็จญาณสังวรซึ่ง
เป็นสมณศักดิ์ในครั้งนั้น ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นสมณศักดิ์ในครั้งนั้น
ของพระคุณสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์.

  • ความเป็นมา
นายแพทย์ขจร และคุณหญิง นิธิวดี อ้นตระกูล ต.จ. เป็นผู้ถวายที่ดิน
จำนวน 500 ไร่เมื่อ พ.ศ.2519 โดยการนำของ นางวิราณี องคสิงห์ ซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว
และนายสนิท และนางปรียา ฉิมโฉม อดีตผู้อำนวยการผังเมือง หรืออธิบดีหญิงคนแรก
ของประเทศไทยเป็นสถาปนิกผู้วางผังวัด และออกแบบคุมการก่อสร้างอาคารสำคัญ
ทั้งหมดโดยมีพิธีวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถเมื่อ พ.ศ.2512 สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จ
พระสังฆราช สกลมหาปริณายก ดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระญาณสังวร ทรง
เป็นประธานการสร้างฝ่ายบรรพชิต และพลอากาศโท ไสว ช่วงสุวนิช ขณะที่กำลังอยู่
ในตำแหน่งผู้ว่าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เป็นประธานฝ่านคฤหัสถ์ ในครั้ง
นั้นคุณหญิงละมูน มีนะนันท์ ท.จ. ได้บริจาคเงินเป็นรายแรกจำนวน ห้าแสนบาท...
 
 
 ภาพบรรยากาศที่วัด
 
พระบรมธาตุเจดีย์ ลงรถปุ๊บก็ดิ่งไปเลยครับ
 








อาศรม พระอาจารย์
แพทย์ใหญ่ ชีวลโกมารภัจจ์
       
 
บรรยากาศร่มรื่น สวยงามมากครับ   








กราบไหว้กันสักเล็กน้อยครับ 
 
ป้ายคติเตือนใจ "นรกมีจริงแน่แม้เหลือเชื่อ โทษนรกแรงร้ายเหลืออย่าทำเป็นเล่น"
 
ต้นนี้เด่นมาก ไม่เห็นใบเลย เด่นกว่าทุกๆต้น
 
อยากมีรูปกับเขาบ้าง ถ่ายกับพระบรมธาตุเจดีย์เลย 
 
ภาพก็มีเพียงเท่านี้ล่ะครับ หลังจากนั้นฝนก็เทลงมา ยังไม่ทันจะเดินครบเลย ใครที่ยังไม่เคยมาที่นี่ต้องลองมานะครับ มาดูความสวยงามและความร่มรื่นของวัด แล้วก็อย่าลืมเข้าไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรกันนะครับ

 
ขอบคุณ www.sattahipbeach.com ที่เผยแพร่ข้อมูลประวัติและความเป็นมา


เพียงแค่หยุดมอง แล้วคุณจะพบสิ่งพิเศษที่ซ่อนอยู่...

เพียงแค่หยุดมอง แล้วคุณจะพบสิ่งพิเศษที่ซ่อนอยู่



เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก youtube.com โพสต์โดย powervisionboard



ขึ้นชื่อว่า "เช้าวันทำงาน" เชื่อเลยค่ะว่า มนุษย์งานอย่างเราทุก ๆ คน ต้องตกอยู่ในสภาวะเร่งรีบ สองเท้ารีบก้าวเพื่อที่จะไปให้ทันเข้าทำงาน ไปพบลูกค้า หรือไม่ก็ส่งลูกเข้าโรงเรียน แต่คุณรู้ไหมว่า ...ในท่ามกลางสภาวะเร่งรีบเช่นนี้ สิ่งดี ๆ อาจผ่านตัวคุณไป โดยที่คุณไม่อาจรู้ตัว หรือไม่แม้แต่จะเหลียวมองเลยก็ตาม  ซึ่งเพียงแค่เสี้ยววินาทีเล็ก ๆ นั้น ถ้าคุณหยุดมองที่จะสนใจสักนิด คุณอาจจะได้พบสิ่งดี ๆ ที่พิเศษซ่อนอยู่ก็ได้... 

           เฉกเช่น เรื่องราวที่เรานำมาให้ได้อ่านกันในวันนี้ เป็นเหตุการณ์จริงที่ถูกแชร์ส่งต่อกันในเฟซบุ๊กกันอย่างมากมาย ... โดยเป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่เป็นถึงนักดนตรีระดับโลก ไม่ว่าเขาเปิดการแสดงเมื่อไร บัตรก็ถูกจองเกลี้ยงภายในพริบตา แต่กลับกลายเป็นคนที่ผู้คนสนใจทั่วไปไม่สนใจ เพียงเพราะเขายืนแสดงดนตรีที่สถานีรถไฟใต้ดิน  ... โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า เขาเป็นถึงนักดนตรีระดับโลกที่คนต่อแถวเข้าคิวซื้อตั๋ว เพื่อที่จะฟังเพียงเพลงบรรเลงแค่เพลงเดียวเท่านั้น

           เรื่องนี้มีอยู่ว่า ...  เช้าวันหนึ่งในวันที่อากาศหนาวของเดือนมกราคม ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่เมืองวอชิงตัน ดีซี ในชั่วโมงเร่งด่วน ขณะที่ทุกคนรีบไปทำงาน มีชายคนหนึ่งวางสัมภาระลงและเริ่มเล่นไวโอลิน บทประพันธ์ของบาค เป็นเวลา 45 นาที มีผู้คนผ่านไปมาประมาณ 1,100 คน

           ... 3 นาทีผ่านไป มีชายวัยกลางคนสังเกตเห็นนักไวโอลิน เขาชะลอฝีเท้า และก็รีบเดินต่อไป

           ... อีกหนึ่งนาทีต่อมา เขาได้รับเงินดอลล่าร์แรก จากผู้หญิงคนนึงที่ให้เงินโดยไม่หยุดเดิน แล้วก็เลยจากไป

           ... ไม่กี่นาทีต่อมาชายคนหนึ่ง เอนหลังพิงกำแพงดูการแสดงของนักไวโอลิน แต่ก็ไม่วายมองนาฬิกาแล้วก็ออกเดินต่อ

           ... คนที่ตั้งใจดูมากที่สุด ดูจะเป็นเด็กน้อยอายุ 3 ขวบ แต่แม่ก็พยายามบังคับให้หนูน้อยเดินต่อ และดูเหมือนเด็ก ๆ ทุกคนก็จะชอบดู แต่โดนพ่อแม่ บังคับให้รีบเดินต่อเหมือนกัน

           ตลอดระยะเวลาการแสดง 45 นาที มีเพียงคนที่หยุดดู และใช้เวลา มีคนให้เงินวณิพก 20 คน เป็นจำนวน 32 ดอลลาร์ เมื่อการแสดงจบลง ความเงียบงันก็เข้าแทนที่ ไม่มีใครรู้ว่าการแสดงจบแล้ว ไม่มีเสียงปรบมือ เหมือนไม่มีใครรับรู้เลยว่าเคยมีการแสดงเกิดขึ้น

           ไม่มีใครรู้ว่านักไวโอลินคนนั้นคือ โจชัว เบล (Joshua Bell) หนึ่งในนักไวโอลินที่เก่งที่สุดในโลก เขาเลือกเล่นเพลงที่เป็นบทประพันธ์ที่ยากและไพเราะที่สุดบทหนึ่ง ด้วยไวโอลินราคากว่า 100 ล้านบาท 

           2 วันก่อนหน้าที่เขาจะมาแสดงในรถไฟฟ้าใต้ดิน บัตรคอนเสิร์ตที่บอสตันของเขาขายเกลี้ยงในพริบตา ที่ราคาบัตรเฉลี่ยตกใบละ 3,500 บาท และเพลงที่เล่นวันนี้ก็เป็นเพลงเดียวกับในคอนเสิร์ตที่บอสตัน

           นี่คือเรื่องจริงที่เป็นการทดลองของหนังสือพิมพ์ชื่อดัง The Washington Post เพื่อทดสอบการรับรู้ การจัดลำดับความสำคัญของผู้คน คำถามที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทดสอบคือ: ในสภาพแวดล้อมทั่วไป ในช่วงเวลาที่ทุกคนรีบเร่ง เราเห็นความงามมั้ย ? เราจะหยุดเพื่อชื่นชมสิ่งที่สวยงามหรือไม่ เราจะเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในที่ ๆ เราไม่คาดคิดหรือไม่

           หรือคำตอบของการทดลองนี้อาจจะเป็น : ถ้าเราไม่มีเวลาหยุดเพื่อฟังนักดนตรีระดับโลกเล่นหนึ่งในบทประพันธ์เพลงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ จากเครื่องดนตรีชั้นเยี่ยมแล้วล่ะก็.. จะมีอีกซักกี่อย่างแล้วหนอในชีวิต.. ที่เราได้พลาดไป



คลิป การแสดงของ  โจชัว เบล (Joshua Bell) ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน 

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตะลุย BOI Fair 2012

ตะลุย BOI Fair 2012

 

 

และแล้วงานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่หลายคนรอคอยมานานแสนนานงานหนึ่งก็ ได้กลับมาแล้ว ซึ่งนั้นคือ BOI Fair ที่จัดโดยหน่วยงานที่ชื่อว่า BOI งานนี้มีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2538 มาวันนี้ เกือบ 20 ปีแล้ว งานได้มีการจัดแสดงทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งนี้ก็ไม่ธรรมดาอีกเช่นเคยเพราะ ได้มีเทคโนโลยีเต็มงานที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาดูงานกันดีกว่าว่า มีอะไรบ้าง ออกตัวล้อฟรีก่อนว่าภาพบางอย่างจะไม่ชัดมีเบลอบ้าง เพราะลืมชาร์ดแบตฯ เลยรีบถ่าย ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ส่วนตอนต่อไป จะเตรียมการให้ดีกว่านี้ครับ

LG




ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าจะครอบจักรวาล มีทุกอย่างที่เขาจะทำได้ ด้วย Theme ที่ว่า Smart Life สื่อให้เห็นอนาคตมากมายเช่น TV 3 มิติที่มีจุดเด่นคือแว่นไม่ต้องใช้แบตฯก็มองภาพ 3D ได้ ระบบแอร์ รวมทั้งการนำ Smart Phone มาช่วยงานบ้านเช่นสั่งเปิดเครื่องซักผ้า เช็คของในตู้เย็น และสั่งเปิดปิดแอร์ได้อีกด้วย

  ส่วนในเรื่อง Smart Phone LG ก็ได้นำ 2 รุ่นมาให้ดูกันแบบจุใจ นั้นคือLG Optimus LTE ที่ย่อมาจาก Long Term Evolution เทคโนโลยีนี้เป็นที่มาของยุคที่ 4 ของโทรศัพท์มือถือหรือเรียกว่า 4G (จะมีคนกล้าเอาไปแต่งเพลงอีกไหมเนี่ย) สเปคของเจ้าตัวนี้ เป็น Dual Core 1.5 GHz นอกนั้นถอดดูจาก Optimus 2X แต่การออกแบบปุ่มนั้นจะเป็นแบบ Optimus SOL และ Optimus HUB นั้นเอง 

LG Prada มาแล้วกับ Smart Phone ที่หรูที่สุด และแพงที่สุดของ LG ความหรูหรานั้นไม่ได้แปะแค่โลโก้ Prada เท่านั้น สเปคข้างในก็ถือว่าแรงใช้ได้และก็วัสดุชั้นดี ราคาเห็นบอก ๆ กันมาว่าไม่เกิน 24xxx หากใครรักปราด้า ก็เตรียมเงินไว้ กุมภา เจอกันแน่นอน

 

 Panasonic

ซึ่งเป็นบูทสุดท้ายของตอนนี้ครับ ถือว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอายุยาวนานค่ายหนึ่งและมีอยู่ในเมือง ไทยมานานมาก ตั้งแต่สมัยเนชั่นแนล ก็เลยมีการจัดแสดงเครื่องใช้ไฟฟ้าในอดีตและเล่าประวัติอันยาวนาน เมื่อเข้ามาอีกโซนหนึ่งจะแสดงนวัตกรรม Solar Cell และการเก็บประจุแบตเตอร์รี่เข้าไป และส่วนถัดไปคุณจะได้ดู Concept Eco House โดยมีเครื่องใช้ไฟฟ้าของพานาโซนิคในหลายรูปแบบอยู่ข้างในสื่อถึง Concept ในอนาคต รวมทั้งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่าง Testa ของสหรัฐอเมริกา ที่ใช้แบตเตอร์รี่ขับเคลื่อนของพานาโซนิค ซึ่งเขาโปรโมตรเต็มที่ นอกจากนี้ยังมี Concept ร้านค้าอิเล็กทรอนิคที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ รูปแบบนั้นคือจะเน้นการใช้เทคโนโลยีและอำนวยความสะดวกให้มากขึ้น แต่ก็ยังรักสิ่งแวดล้อมอีกด้วย



 และจุดสุดท้าย 3D Zone เป็นจุดที่แสดงจอภาพ 3 มิติ ที่ยิ่งใหญ่มาก โดยมีหนังเรื่องที่ถ่ายทำ 3D ทั้งเรื่องมาให้ดูชื่อเรื่อง Dive และยังมีฉาก Blue Screen ให้เข้าไปอยู่ในอวกาศ และเทคโนโลยีที่แสดงเต็มที่อีกจุดคือ เวียร่า ลิงค์ ซึ่งอยู่ใน โทรทัศน์พานาโซนิคเวียร่าทุกตัว แต่ความเด็ดของมันคราวนี้คือ สามารถใช้คาราโอเกะได้ด้วย นอกจากที่เล่านี้ยังมีโรงหนังขนาดใหญ่ฉายภาพ 3D ซึ่งครั้งหน้าจะเอามาเล่าให้ฟังเพราะคนให้ความสนใจเยอะจนเข้าไปไม่ไหว


        และนี่ก็คือส่วนต่างๆในงาน สำหรับพาเที่ยว BOI Fair ต้องขอจบแต่เพียงเท่านี้นะครับ สวัสดีครับ -/\-

credit : itcoolgang

 

 

 

 

 

 

 

ตำหนักในวังสวนสุนันทา

อาจมีผู้ทราบกันแต่เพียงว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาตั้งอยู่ในวังสวนสุนันทา อันเป็นชื่อที่มาจากพระนามของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสิ้นพระชนม์จากเรือพระที่นั่งล่มกลางลำน้ำเจ้าพระยา พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงพระราชทานนามสวนในวังเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระบมราชเทวีผู้เป็นที่รักยิ่ง ของพระองค์ว่า ?วังสวนสุนันทา?

แต่ที่ไม่ได้เล่าขานกันเท่าใดนักก็คือ วังสวนสุนันทาในอดีตนั้น มีตำหนักซึ่งเคยเป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายในหลายพระองค์ และเมื่อเวลาผ่านไป บางตำหนักได้ชำรุดทรุดโทรมเกินกว่าจะเยียวยา จำเป็นต้องรื้อถอนและสร้างใหม่ ในขณะที่บางตำหนัก ยังสามารถรักษาไว้ได้ รอเพียงการบูรณะขึ้นมาอนุรักษ์ไว้ โดยมีสถานที่สำคัญอันควรบันทึกไว้ ๖ ตำหนัก ได้แก่

๑. ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงจุฬารัตนราชกุมารี (๑๗ ธันวาคม ๒๔๑๕ ? ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๗๓) พระราชธิดาองค์ที่ ๗ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดามรกฎ ทรงเชี่ยวชาญด้านกวีนิพนธ์ ฉันท์ และกาพย์กลอน ปัจจุบันคืออาคาร ?จุฑารัตนาภรณ์? ใช้เป็นศูนย์ข้อมูลดนตรีรัตนโกสินทร์ ของภาควิชาดนตรี (คาดว่าจะบูรณะให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๕)

๒. ตำหนักพระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงพิสัยพิมลสัตย์ (๒๐ ธันวาคม ๒๓๒๔ ? ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๙) พระราชธิดาองค์ที่ ๓๔ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาเลื่อน ทรงโปรดการทำอาหาร รอบตำหนักในอดีต รายล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ ปัจจุบันคืออาคาร ?พิสมัยพิมลสัตย์? ใช้เป็นศูนย์ข้อมูลสถาปัตยกรรมและตกแต่งภายใน

๓. ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงอาทรทิพยนิภา (๒๑ เมษายน ๒๔๓๒ ? ๒๓ มีนาคม ๒๕๐๑) พระราชธิดาองค์ที่ ๖๑ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาชุ่ม ทรงโปรดดนตรีไทย ทรงมีวงเครื่องสายหญิง ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวของสวนสุนันทา และจะทรงเฉพาะที่วังสวนสุนันทาเท่านั้น หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี ๒๔๗๕ ทรงย้ายไปประทับที่สวนนอก เชิงสะพานกรุงธนบุรี และสิ้นพระชนม์ ณ ที่นั้น ปัจจุบันคืออาคาร ?อาทรพิพยนิวาสน์? ใช้เป็นศูนย์ข้อมูลศิลปะรัตนโกสินทร์

๔. ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงศศิพงศ์ประไพ (๒๖ เมษายน ๒๔๒๔ ? ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๗๗) พระราชธิดาองค์ที่ ๓๑ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาจันทร์ ทรงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ทรงใฝ่พระทัยในธรรมะ งานโปรดคือเย็บปักถักร้อยและการแกะสลัก และที่พิเศษคือกีฬากอล์ฟ ปัจจุบันคืออาคาร ?ศศิพงศ์ประไพ? ใช้เป็นศูนย์สุขภาพแพทย์แผนไทย การบูรณะจะแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๕

๕. ตำหนักเจ้าจอมเอื้อน (๒๔๓๐ ? ๒๔๗๐) และเจ้าจอมแถม (๒๔๓๔ ? ๒๔๙๓) ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าจอมเอื้อนมีฝีมือในการถ่ายรูป สามารถอัดและล้างรูปได้ด้วยตนเอง ยามว่างจะซ้อมดนตรี สีไวโอลิน ถักนิตติ้งโครเชต์ สอนหลาน ๆ ให้ร้อยมาลัย และเล่นแบตมินตัน ส่วนเจ้าจอมแถม ปัจจุบันคืออาคาร ?เอื้อนอาชว์แถมถวัลย์? เป็นศูนย์ข้อมูลนาฏศิลป์รัตนโกสินทร์ การบูรณะจะแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๕

๖. ตำหนักพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระยาสุทธาสินีนาถปิยมหาราชปดิวรัดา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชนัดดาในรัชกาลที่ ๓ (สิงหาคม ๒๔๐๔ ? ๒๓ มิถุนายน ๒๔๗๒) และยังเป็นที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงนิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันคืออาคาร ?สายสุทธานภดล? ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปะและวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ อาทิ นาฏศิลป์ ดนตรี คหกรรม งานฝีมือต่าง ๆ และยังเป็นที่รวบรวมภาพเขียนสีน้ำ ซึ่งเป็นฝีมือของ ?คุณข้าหลวง? ในวังสวนสุนันทา

พระวรวงศ์เธอพระองค์ เจ้าวิมลฉัตร ทรงอธิบายไว้ในหนังสือที่ระลึก ฉบับรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อปี ๒๕๓๓ ว่า ?ข้าหลวง? เป็นบุตรหลานของเหล่าขุนนาง ข้าราชการ และผู้มีบรรดาศักดิ์ในสมัยนั้น ที่นิยมนำบุตรหลานเข้ามาถวายตัวเป็นข้าหลวงด้วยความมั่นใจว่าบุตรหลานของตน จะได้รับการอบรมให้เป็นกุลสตรี

พระวิมาดาเธอ ฯ ทรงสนพระทัยทางด้านการทำอาหาร ดอกไม้ และพันธุ์ไม้สวยงาม เห็นได้จากภาพวาดที่จัดแสดง ณ ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรม ภายในอาคาร ?สายสุทธานภดล? ทรงสั่งให้คุณข้าหลวงวาดด้วยฝีมือตนเอง และต้องวาดจนเหมือนและสวยที่สุด ซึ่งปัจจุบัน เหลืออยู่ ๑๑๗ ภาพ

พระ ปรีชาอันเป็นที่เลื่องลือของพระวิมาดาเธอ ฯ คือการคิดสูตรโภชนาการใหม่แหวกแนว ทรงปรับเปลี่ยนพลิกแพลงอาหารดังตำนาน ?น้ำพริกลงเรือ? อันเป็นที่รู้จักในปัจจุบันอย่างกว้างขวาง และ ?เม็ดทับทิมลอยแก้ว?

เจ้า จอมหม่อมราชวงส์สดับ (ลดาวัลย์) เล่าว่า มีการจัดงานเลี้ยง ผู้ที่ได้เห็นเม็ดทับทิมลอยแก้วเป็นต้องตื่นเต้น แต่ผู้ที่กุมสูตรนี้ไว้ มีเพียงยายญวนเพียงผู้เดียว เวลาทำ จะไม่ให้ใครมาช่วยหรือดูเลย จึงส่งพระวิมาดาเธอ ฯ ขณะพระชันษา ๙ ขวบ เป็นสายสืบเข้าไปเป็นลูกมือหยิบโน่นจับนี่จนแล้วเสร็จ เมือยายญวนกลับไปแล้ว พระวิมาดาเธอ ฯ ทรงถ่ายทอดออกมาได้ทุกขั้นตอน จนเป็นสูตรทับทิมลอยแก้วในปัจจุบัน

ตำหนักในวังสวนสุนันทายังมีหลาก หลายเรื่องราวของเจ้านายและคุณข้าหลวงที่ เกี่ยวข้องกับ ?พระพุทธเจ้าหลวง? ในฐานะต่าง ๆ อันควรแก่การค้นคว้ามาบันทึกไว้ต่อไปในอนาคต



 Credit : สารคดี sunandhanews.com

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รำลึก Kurt Cobain นักร้องนำ NIRVANA


     
รำลึก Kurt Cobain




       Nirvana วงดนตรีที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกและวันนี้เราจะมารำลึกถึงนักร้องนำวงนี้  เขาคือ Kurt Cobain เขาเสียชีวิต วันที่5 เมษายน 1994 ด้วยการใช้ปืนลูกซองจ่อเข้าที่หัวของตัวเอง



  ช่วงเวลาหนึ่งของวงการดนตรีของอเมริกานั้นต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นยุคของร็อคผมยาว ชุดหนัง รองเท้าหนัง นิสัยต้องกร่างทำตัวแย่ๆเข้าไว้ มีเรื่องให้เยอะ ประดุจว่าเป็นเทพเจ้า และบทเพลงต้องมีโซโล่ที่รวดเร็วประดุจลมกรด และที่สำคัญจะต้องเป็นวงร็อคที่มีสมาชิกในวงเป็นกีต้าร์ฮีโร่ถึงจะเป็นที่นิยม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปดนตรีเหล่านั้นได้ถูกเบียดตกขอบ โดยชายผู้หนึ่งที่เล่นกีต้าร์อย่างไม่มีเทคนิคหรือทฤษฎีอะไรมากมายเลย เขาไม่ใช่คนที่เล่นโซโล่เร็วหรือเพลงแทบไม่มีโซโล่เลยก็ว่าได้ เพลงไม่มีรูปแบบซับซ้อนอีกทั้งวงไม่ต้องใช้สมาชิกเยอะมากมาย มีเพียงแค่ 3 ชิ้นเท่านั้น




           บทเพลงของเขารวมถึงในส่วนของดนตรีนั้นเขาเล่นมันออกมาจากใจและอารมณ์ดิบที่รอการปลดปล่อยออกมาทางบทเพลง บุคคลผู้นี้คือคนที่มาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของดนตรีอีกหนึ่งหน้า และโลกจะต้องจดจำเขาผู้นี้ไปตลอดกาล เขาคือ Kurt Cobain ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับตัวของ Kurt นั้นมันมาอย่างรวดเร็วมากนั้นตอนที่เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 20 ปีเท่านั้น นับได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ได้มาอย่างรวดเร็วเหลือเกิน Kurt เกิดเมื่อวันที่ 20 เดือน กุมภาพันธ์ ปี 1967 ในเมือง Aberdeen รัฐ Washington.ในช่วงวัยเด็กเขาเป็นเด็กที่ช่างกระตือรือร้นแทบทุกเรื่อง Kurt เป็นเด็กที่น่ารักชอบเล่นสนุกอย่างเด็กๆทั่วไป แต่พอเมื่อเขาย่างเข้าอายุ 7 ขวบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาเริ่มที่จะเปลี่ยนจุดแรกที่เปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ สภาพครอบครัวต้องแตกแยก พ่อและแม่ของเขาตัดสินใจแยกทางเดินที่จะอยู่ด้วยกันและอีกจุดคือพ่อและแม่ของเขาส่งเขาไปอยู่กับญาติ และจุดเหล่านี้แหละที่เริ่มทำให้ Kurt เริ่มที่จะแตกต่างจากเด็กทั่วๆไป และเด็กหลายๆคนก็มักที่จะเจอปัญหานี้เช่นกันนั้นคือ การขาดความอบอุ่นและการใส่ใจดูแล หากใครได้สังเกตเห็นเนื้อเพลงของ Nirvana ที่ชื่อว่า Silver เพลงนี้แหละครับที่เขาแต่งมันออกมาเพื่อสะท้อนชีวิตที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ชีวิตของ Kurt เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มเก็บตัวเงียบๆไม่ค่อยพูดคุยกับใครมากนัก เขาเริ่มเกลียดโรงเรียนและเริ่มที่จะไม่ไปเรียน
         


         Kurt เริ่มหันมาสนใจศิลปะและชอบวาดรูปแทนการไปเรียนหนังสือ และอีกสิ่งในชีวิตของเขาที่ชอบและขาดไม่ได้เลย อีกทั้งเป็นต้นกำเนิดในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งด้วย นั้นคือ ? ดนตรี ? ในช่วงแรกนั้นเขาเริ่มฟังเพลงของวง The Beatles และ The Monkees ต่อมาจุดเปลี่ยนแปลงและต้นกำเนิดของ Nirvana เกิดขึ้นเมื่อเขาได้รู้จักกับวงอย่าง Black Sabbath, The Sex Pistols และวง The Clash เป็นต้น จะเห็นได้ว่าวงพวกนี้จะมีความเป็นพังก์และความดิบของดนตรีร็อกอยู่สูง ดังนั้นดนตรีเหล่านี้จึงสะท้อนออกมาทางบทเพลงของ Nirvana อยู่เยอะที่เดียว และเมื่อถึงวันเกิดครบรอบ 14 ปีของเขา Kurt ก็ได้ซื้อกีต้าร์ตัวแรกในชีวิตและเขาก็เริ่มหัดและทกลองเล่นในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากมือกีต้าร์คนอื่นๆ และKurt ยังได้ก่อตั้งวงขึ้นมาหนึ่งวงและตั้งชื่อมันว่า Melvins และ Kurt ก็ได้ทำสิ่งหนึ่งที่คนอื่นๆที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันไม่กล้าทำและเป็นสิ่งที่บรรดาผู้ใหญ่ต่างก็คิดไม่ถึงนั้คือการที่เขาตัดสินใจออกจากโรงเรียนก่อนที่จะจบในอีกไม่นานเพื่อที่จะมาเล่นดนตรี แต่ต่อมาทุกอย่างก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเมื่องานในสายดนตรีมันไม่ได้ยืนยาวอย่างที่เขาคิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Kurt ก็ไม่ได้ท้ออะไรเกี่ยวกับมันมาก

อัลบั้ม in utero  ดนตรีหนักแน่นและกดดันอารมณ์มากๆ เป็นอัลบั้มที่ผมชอบที่สุดของ nirvana เคิร์ท โคเบนได้แสดงความเป็นอัจฉริยะทางดนตรีของเขาอย่างเต็มที่ครับ


มันกลับยิ่งเป็นแรงส่งให้เขาตั้งวงขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งวงซึ่งเป็นวงดนตรีสามชิ้น และใช้ชื่อว่า ? Nirvana ? ในยุคแรกของ Nirvana มีสมาชิกหลักๆก็คือ Kurt ที่รับตำแหน่งร้องและเล่นกีต้าร์ Krist Novaselic รับตำแหน่งมือเบส ในส่วนของมือกลองนั้นยังต้องคอยสลับสับเปลี่ยนมือกลองเข้ามาใหม่อยู่เป็นเรื่องประจำ และแล้วในที่สุดความฝันของพวกเขาก็เป็นจริงเมือ่อัลบัมชุดแรกได้ออกมาในชื่อชุด Bleach เมื่อปี 1989 พวกเขาเริ่มออกทัวร์ แม้ว่าจะยังไม่เป็นที่รู้จักซักเท่าไหร่นักแต่ Nirvana ก็มีแฟนเพลงอยู่กลุ่มหนึ่ง และซิงเกิ้ลที่สองก็ได้ออกมาแต่ก็ไม่เป็นที่ประสบความสำเร็จ จึงส่งผลให้ทางวงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสังกัดอยู่ และก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างเริ่มจากพวกเขาได้อยู่สังกัด Geffen การเปลี่ยนแปลงที่สองก็คือ Nirvana ได้สมาชิกใหม่และเป็นสมาชิกถาวรจนถึงปัจจุบันนั้นคือ Dave Grohl ซึ่งมารับตำแหน่งมือกลอง


NEVERMIND อัลบั้มที่โด่งดังของ NIRVANA
        การเปลี่ยนแปลงอย่างสุดท้ายถือว่าเป็นการเปลี่ยนวงการดนตรีทั้งโลกเลยก็ว่าได้เพราะพวกเขาได้ออกอัลบัมที่กลายเป็นอมตะไปซะแล้วสำหรับโลกนี้นั้นคืออัลบัมชุด Nevermind ซึ่งอัลบัมชุดนี้นอกจากจะเปลี่ยนกระแสดนตรีแล้วก็ยังมีเพลงฮิตตลอดกาลอย่าง "Smells Like Teen Spirit " , "Come as You Are" และ "Something in the Way " พวกเขากลายเป็นฮีโร่ของเด็กรุ่นใหม่และไม่มีทางที่จะปฎิเสธได้เลยว่าวัยรุ่นที่หัดเล่นกีต้าร์ในยุคนั้นจะไม่เคยแกะเพลงของเขาเล่น และความสำเร็จของ Nirvana ก็ยิ่งเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาได้ออกรายการ MTV's Headbanger's Ball และ NBC's Saturday Night Live. Nirvana เริ่มออกทัวร์กันอย่างหนักแบบประมาณว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก แต่อย่างไรก็ตามความสำเร็จของพวกเขาที่เข้ามาถึงจะเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็มีเรื่องที่เลวร้ายเข้ามาด้วยเช่นกัน เมื่อ Kurt เริ่มที่จะติดยาเสพติดอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นมอร์ฟีนหรือเฮโรอีน หลายต่อต่อหลายครั้งที่ Kurt ให้สัมภาษณ์เขามักจะบอกว่าเขาต้องใช้ยาพวกนี้เพื้ฃ่อที่จะระงับอาการปวดท้องอย่างรุนแรงจากโรคกระเพาะ และนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของความหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่กำลังตามมา ปี 1992 Kurt ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเพราะเขากำลังจะแต่งงานกับ Courtney Love ศิลปินสาวแห่งวงร็อกอย่าง Holeและแล้วทั้งคู่ก็ได้ลูกสาวหนึ่งคน ปี 1993 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการสูญเสียเมื่อ Kurt เริ่มที่จะหันหน้าเข้าหาเฮโลอีน เขาติดมันจนถอนตัวไม่ขึ้นอย่างแน่นอน และแล้วงานต่างๆที่เข้ามาหลายๆครั้ง Kurt ก็ทำมันเสีย บางครั้งเขาก็เล่นแบบไม่จบคอนเสริต และในปีนี้ Nirvana ก็ได้ออกอัลบัมมาอีกหนึ่งชุดนั้นคือ In Utero และอัลบัมชุดนี้ก็กลายเป็นประวัติศาสตร์อีกด้วยเนื่องจากเป็นอัลบัมที่บันเสียงในสตูดิโอเป็นชุดสุดท้ายของ Nirvana ปี 1994 Nirvana ได้เล่นคอนเสริตที่ดีอีกหนึ่งคอนเสริตนั้นคือ MTV unplugged และแล้วสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยนั้นก็คือ Kurt ตัดสินใจใช้ปืนลูกซองยิงกรอกปากตัวเอง และศพของ Kurt ถูกพบหลังจากการตายสามวัน นั้นคือวันที่ 8 เมษายน ปี 1994 ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของวงการดนตรีอีกครั้ง

credit : guitarthai 

ทะเลสวนสนประดิพัทธ์ สถานที่ท่องเที่ยวสุดสงบ


ทะเลสวนสนประดิพัทธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์




  วันนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนมาแนะนำ สำหรับคนที่ไม่เคยไปเที่ยว หรือคนที่เคยไปเที่ยวมาแล้วก็แลก
เปลี่ยนประสบการณ์กันได้นะครับ
                  สถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนที่จะแนะนำนั้น สำหรับฤดูกาลนี้คงจะไม่เหมาะซักหน่อย หลงฤดูมาตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว คือว่าไปเที่ยวมา แล้วถ่ายรูปเก็บไว้ ไม่ได้คิดจะเอามาลง blog อะไรหรอก เพราะตอนนั้น blog ยังไม่ฮิตขนาดนี้ พอมีกับเค้าบ้างก็เลยอยากเอารูปมาอวด (พูดกันตรงๆ )
                   สวนสนประดิพัทธ์อยู่ห่างจากหัวหิน ๘ กิโลเมตร แยกซ้ายตรง กม.ที่ ๒๔๐ เข้าไป ๕๐๐ เมตร สวนนี้มีชื่อเต็มว่า "สถานที่พักฟื้นและพักผ่อนสวนประดิพัทธ์" อยู่ในความดูแลของสวัสดิการทหารบก มีร้านอาหารและบ้านพักติดริมทะเลหลายหลัง หลายประเภท มีทั้งที่เป็นตัวอาคารคล้ายโรงแรม ทั้งบ้านพัก แบบเป็นหลังๆ ทั้งห้องนอนเดียวจนถึง 3 ห้องนอน



                   สำหรับที่ได้ไปพักมา เป็นบ้านพักแบบสามห้องนอน สองห้องน้ำ แต่ละห้องมีเครื่องปรับอากาศพร้อม ภายในมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งทีวีติดเคเบิ้ล ตูเย็น เครื่องทำน้ำอุ่น สำหรับราคาที่พักนั้น ตามราคาที่ติดไว้ที่ศูนย์อำนวยการ อยู่ที่ 4500 บาท สำหรับหลังที่ไปพัก แต่ว่าเค้ามีสวนลดให้สำหรับข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ (20 %) โดยเฉพาะข้าราชการทหาร มีสวนลดให้เยอะทีเดียวจากราคาเดิม 4500 เหลือเพียง 2700 แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้ญาติที่เป็นทหารเป็นคนลงชื่อจองห้องพัก และเป็นคนจ่ายค่าห้องพักด้วย ถึงจะได้ลดขนาดนั้น น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายสภาพตัวบ้านด้วยกล้องดิจิตอลมาให้ดู เพราะว่าใช้กล้องฟิล์มถ่ายไว้ แต่รับรองได้ครับว่า น่าไปพักมาก สะดวก สบาย บรรยากาศเงียบสงบ เพราะว่าอยู่ในความดูแลของทหาร ตื่นเช้าขึ้นมายังสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้อีก



เรื่องอาหารการกินก็ไม่ต้องเป็นห่วง มีร้านค้าสวัสดิการคอยให้บริการ ทั้งอาหารทะเล และก็ ส้มตำ เช้าๆ ก็ข้าวต้ม แล้วแต่เราจะสั่ง

สถานที่ใกล้เคียง หรือร้านอาหารที่แนะนำ ใกล้ๆ นั้นก็มีร้านอาหารอยู่ร้านนึงอยู่แถวๆ เขาเต่า เข้าทางเดียวกับวัดเขาเต่านั่นแหละครับ แต่ผมจำชื่อไม่ได้ ราคาถูก อร่อยด้วย แต่อย่างที่บอกแหละครับ ตอนนั้น blog ยังไม่นิยมกัน ก็เลยไม่ได้เก็บบรรยากาศเอาไว้ เลยไม่มีภาพให้ดูอีก ก็ดูภาพวิว ไปก่อนละกัน เพราะจากร้านอาหารที่ว่า สามารถเดินเล่นริมทะเลไปได้เรื่อยๆ จนถึงวัดเขาเต่า 

หรือจะเดินเล่นดูวิถีชีวิตของชาวประมงก็ได้นะครับ

ตกดึก จะออกไปเที่ยวที่ตัว อ.หัวหิน ก็ไม่เป็นปัญหา หรือว่าจะเลือก นอนดูดาว ดูพระจันทร์บนผืนน้ำ ก็โรแมนติกไม่เบา ได้คนรู้ใจอยู่เคียงข้าง ซักคนก็เพียงพอแล้ว


  ตื่นเช้าซักนิดหน่อย ลุกขึ้นออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ส่องแสงสีทอง ประดับท้องฟ้า สร้างสีสันให้กับโลกในวันใหม่ให้สดใสสวยงาม ซึ่ง บริเวณริมหาดตอนเช้านั้น ก็จะมีพระออกเดิน บิณฑบาตร ให้เราได้ทำบุญกันด้วย ได้หลีกลี้หนีความวุ่นวาย ไปหาความสงบ ปลดปล่อยอารมณ์ เก็บเรี่ยวแรงแล้วกลับมาสู่กับความวุ่นวายในเมืองกรุงบ้าง ชีวิตคงจะมีความสุขนะครับ



เครดิต : oknation.net

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ดนตรี - มิตรภาพ - ไร้พรมแดน

STREET MUSIC


ถ้าพูดถึง "นักดนตรีข้างถนน" หลายคนคงจะรู้จักและเคยเห็นกันเป็นอย่างดีเพราะในเมืองไทยเรานี้ก็มีอยู่เยอะพอสมควร ซึ่งผมเองนั้นก็เห็นมาเยอะไม่ว่าจะตรงสะพานลอย ข้างริมฟุตบาท บางคนก็เล่นตอนสว่าง บางคนก็เล่นกันในยามค่ำคืน แต่ส่วนมากผมจะเห็นบ่อยในยามค่ำคืนสำหรับนักดนตรีข้ามถนน บางท่านก็โชว์เดี่ยวเลย กีต้าร์ตัวนึง หรือบางท่านคนเดียวแต่เล่นเครื่องดนตรีหลายประเภท หรือบางครั้งก็เห็นมาเป็นกลุ่มๆ พวกเขาเหล่านี้มีการเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ และมีการเปิดหมวกหารายได้บ้างนิดหน่อย แต่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา คือการสร้างความครื้นเครงและความสนุกสนานให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ผมว่าคนพวกนี้มีความสุขกับการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก คนเหล่านี้คงคาดหวังเกี่ยวกับการยอมรับมากกว่าเงินที่ได้นะ อย่างน้อยที่สุดเขาก็อยากได้เสียงปรบมือ และคำชม เป็นหลักล่ะ 

 
  •  ครั้งแรกกับการเป็นนักดนตรีข้างถนน

        ใครจะรู้ว่าในชีวิตนี้ผมจะได้มาเล่นดนตรีข้างถนนในยามค่ำคืน เคยคิดที่จะลองทำนะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาส ผมก็เคยเล่นดนตรีมาตอนม.ปลาย และเคยคิดอยากจะเล่นตามสถานที่ต่างๆบ้าง เคยไปเดินเล่นที่สวนจตุจักร เจอๆเด็กๆมาตั้งวงเล่นดนตรีหารายได้พิเศษ ผมยืนดูแล้วก็คิดในใจว่า "เออเจ๋งว่ะ อยากเล่นบ้างว่ะ" แต่ก็เป็นแค่ความคิดนะครับ ไม่เคยมีโอกาสได้ลอง การเล่นดนตรีที่ผ่านมาก็แค่ได้ขึ้นงานโรงเรียนเท่านั้นเองล่ะครับ และพอจบก็ห่างหายไปเลย จนมากระทั่งปี3 ! นี่เลยจุดเริ่มต้นของการเล่นดนตรีข้างถนนในยามค่ำคืน ผมเรียนวิชาโท ภาพยนตร์ครับ แล้วอาจารย์ก็สั่งงานให้ทำสารคดีมาหนึ่งงาน ตอนแรกพวกผมทำประวัติบัง ขายถั่ว แต่... ไม่สำเร็จครับ อาจารย์เลยบอกให้ลองเปลี่ยนเรื่ิอง ลองงัดความเป็นตัวเองออกมา แล้วพวกผมเนี่ยก็ ปิ๊ง!!! เกิดความคิดครับ เรื่องดนตรีก็เป็นสิ่งที่พวกเราชอบกันอยู่แล้ว เลยจะทำสารคดีการเล่นดนตรีข้างถนน ซึ่งผมและเพื่อนอีก2คน ชื่อ บิ๊ก กับ ไวท์ (ผม นนท์ นะ) ก็อยากลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ อยากไปเล่นดนตรีกัน เลยอาสาเป็นนักดนตรีมันซะเลย เพื่อนผมสองคนเล่นกีต้าร์นะครับ ส่วนผมเล่นดนตรีกลองชุดครับ แต่งานนี้ต้องใช้ "ลูกแซกไข่" ครับ มันจะมีรูปทรงเหมือนไข่ เอาไว้เขย่าเป็นจังหวะครับ

        และแล้ววันแรกของการถ่ายทำก็มาถึง พวกผมดิ่งตรงไปสนามหลวงกันเลยครับ กะว่าจะไปเล่นกันตรงตลาดกลางคืนแถวๆนั้น ไปกันทั้งหมด5คนครับ อีกสองคนเป็น ตากล้อง(เมย์) ผู้กำกับ(แมงมุม) ตอนแรกกะไปเล่นในคลองหลอดเลยครับ แต่คนเยอะเหลือเกิน แล้วเป็นครั้งแรกด้วย ความอายมาบังเกิดครับ ต้องมาหลบมุมเล่นตรงที่เงียบๆ ตอนแรกอารมณ์ในการเล่นยังไม่มาครับ พวกผมอายๆเขินๆกันอยู่ ต้องตบเบียร์กันสักหน่อย ก็เริ่มมาล่ะ ก็เล่นๆกันไป คนก็ไม่ค่อยมีนะครับ แต่ก็เล่นไปเรื่อยๆ จนถ่ายทำเสร็จล่ะครับ

ภาพเก็บตกครับ

อันนี้ก็ถ่ายทำเสร็จครับ เล่ยถ่ายรูป พอดีตอนเล่นไม่ได้ถ่ายไว้  


 



ถ่ายกำผู้กำกับครับ คนที่สองนับจากขวา
  
อันนี้เดินทางมาเข้าห้องน้ำ คนซ้ายสุดตากล้องสาวของเราครับ

          นี่คือภาพของวันแรกครับ จริงๆแล้วเราจะไปเล่นที่ข้าวสารกันต่อ แต่วันนั้นสถานที่ไม่เอื้ออำนวยครับ ทั้งเหนื่อยทั้งล้า เลยไม่มีภาพถ่ายอะไรมา กลับมาก็ล้ามากมาย ต้องรีบนอนเลยครับ เพราะวันที่สองก็ต้องมาถ่ายทำที่ข้าวสารอีกล่ะครับ


  • เข้าสู่คืนที่สองของการเล่นดนตรีเปิดหมวก
        คืนที่สองของพวกเราก็มาถึงแล้วครับ ดิ่งตรงไปสนามหลวงที่เดิมไปถ่ายทำเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ก็ไม่เหนื่อยครับ ชิวๆ  หลังจากนั้นเราก็มุ่งไปข้าวสารกันเลย หาทำเลดีๆกันอยู่ครับ ก็ไปจ๊ะเอ๋กับสถานีตำรวจตรงหน้าข้าวสารอ่ะครับ ไฟสว่างดีจัง แล้วก็มีคนเดินผ่านไปผ่านมาครับ และอีกอย่าง เล่นไปไม่ต้องกลัวอะไร มีตำรวจคุ้มครองอยู่แน่ๆ ฝรั่งเพียบเลยครับ น่าตื่นเต้นมาก และพวกผมก็ขนเพลงฝรั่งมาเล่นกันด้วย !!! 

 วันนี้เต็มที่ครับ กะแบบว่าเล่นกันให้สนุกไม่เกร็ง แต่ฝรั่งเยอะเหลือเกิน เดินไป เดินมา ชักเกร็งละ เล่้นกันเบามากๆ บางคนเขาก็อยากจะฟังเรานะ บางคนนี่หยุดเลยรอฟัง พวกผมก็อายกัน เราก็เล่นดนตรีไม่ได้เก่งอะไรมากนัก มาเจอคนรอดูอย่างนี้กดดันกันเลย แต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยมีใครเดินเข้ามานะครับ อาจจะเห็นกล้องที่เราถ่ายทำกันอยู่เลยไม่กล้าเข้ามา พวกเ้ราก็อาย เขินๆกันอยู่ แต่สักพักอารมณ์ศิลป์ก็เริ่มเข้ามาครับ เริ่มอินกับเพลง เริ่มมีความสนุกในการเล่น จนมีเพลง เพลงนึง ของวงOasis ซึ่งเราก็เล่นกันอยู่ จู่ๆมีชาวต่างชาติคนหนึ่ง เขาเอียงหูครับ เอียงมาฟังเราเล่น



จนเล่นเสร็จล่ะครับ เลยได้มีการคุยกัน บังเอิญจริงๆครับ ชายคนนี้ดันชอบวงOasis ซึ่งเราก็กำลังเล่นเพลงวงนี้กันอยู่พอดี ทีนี้ได้เรื่องเลยครับ คุยกันยาว ไอ้ผมอ่ะคุยไม่ค่อยเป็นหรอกครับ ต้องให้เพื่อนอีกคนคุย ซึ่งก็นะ แปบเดียวก็สนิทกัน ถูกคอกันไป  พวกผมก็เริ่มที่จะสนุกละครับ คุยกันไปคุยกันมา ลากมาร้องเพลงด้วยเลย น่ารักดีครับ เขาก็ร้องไม่ค่อยเก่งนะ เป็นคนฝรั่งเศส ชื่อนิโคล่า แต่ถ้าชื่อภาษาอังกฤษก็ นิโคลัส เขาก็พูดอังกฤษได้นะครับ เพื่อนผมก็ชวนคุยป๋อเลย คุยไป ร้องเพลงไป นิโคลัสก็มาแจมด้วย





นิโคลัส มาสวมบทนักร้องนำให้พวกเราครับ

 หลังจากที่ได้คุยได้เล่นดนตรีกับนิโคลัส จู่ๆก็มีฝรั่งมาจากไหนก็ไม่รู้ เดินเข้ามา ฟังเพลงของพวกเรา หยุดฟังกันนิ่งเชียว คราวนี้เป็นสองสาวครับ ข๊าว ขาว เธอก็เข้ามาคุย มาขอเพลง พวกเราก็ไปแล้วครับ เล่นไม่อายแล้ว ใส่กันเต็มที่ เล่นให้เขาฟัง เขาก็นั่งร้องตามกันนะครับ เป็นอะไรที่สนุกมากวันนี้ ได้อะไรมาเยอะเลยครับ ตอนแรกกะแค่เล่นๆและรีบถ่ายทำให้เสร็จ กลายเป็นว่ายาวกันเลยครับ พอเจอชาวต่างชาติคอเดียวกันเรื่องแนวเพลง กลายเป็นว่าได้อะไรมาเยอะเลย ได้ทั้งมิตรภาพใหม่ และประสบการณ์ 






ถ่ายรูปรวมกันหน่อยย



พวกผมรู้ซึ้งกันเลยทีเดียวกับการเล่นดนตรีแบบนี้ ซึ่งมันไม่เหนื่อยเลยครับ พอมาเจอกับมิตรภาพดีๆ และคำชมดีๆจากชาวต่างชาติ เรื่องเงินเปิดหมวกไม่ได้นึกถึงเลยครับ ลืมกันไปเลย รู้สึกดีเวลา มีคนฟัง มีคนชม มีคนชอบ มันรู้สึกดีๆจริงๆครับ โคตรมีความสุขเลย 


นี่ ครับ 30บาท ถึงมันจะน้อย แต่พวกเราก็มีความสุขมากๆครับวันนี้

ก่อนกลับเราก็ให้ของที่ระลึกกับชาวต่างชาติกันไปครับ ผมให้ลูกแซกเขาไป เพื่อนผมอีกคนก็ให้ปิ๊กกีต้าร์ ที่ให้คือนิโคลัสนะครับ นอกนั้นเขาก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว แต่ก็ได้ถามชื่อแซ่กันไว้ละ แต่ผมดันลืมชื่อสองสาวนั้นไปแล้ว จำได้ก็แต่นิโคลัสคนเดียว ฮ่าๆ แล้วพวกเราก็ได้ขออีเมล์เขามาเป็นที่เรียบร้อย แอดเฟสบุ๊คไปแล้วด้วยครับ 

        นี่ล่ะครับเรื่องราวการเล่นดนตรีข้างถนนนของพวกผม ซึ่งได้อะไรกลับมาเยอะแยะเลย ทำให้มีกำลังใจอยากไปเล่นต่อมาก ก็คิดกันไว้แล้วครับว่าจะมาเล่นกันอีก มาเพื่อเล่นโดยเฉพาะเลยไม่ได้ถ่ายทำอะไรทั้งสิ้น เพราะเกิดความอยากเล่นละครับ เจออะไรดีๆแบบนี้เข้าไป มันก็อยากจะเล่นอีก คุณเคยได้ยินคำๆนึงไหมครับ ที่ว่า "ดนตรีไร้พรมแดน" ผมว่ามันเป็นเรื่องจริงนะั ^^