วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

จูงมือคนรักไปเที่ยว...สถานที่โรแมนติกในกรุงเทพ


    คู่รักหลาย ๆ คู่คงอยากจะหาสถานที่ที่จะควงกันไปสวีตหวาน บางคู่อาจจะชอบบรรยากาศหรูหราในร้านอาหาร บางคู่อาจจะอยากไปสถานที่เงียบ ๆ โรแมนติกกันแค่สองต่อสอง หรือบางคู่อาจจะชอบบรรยากาศสนุกสุดเหวี่ยง วันนี้ กระปุกดอทคอมจึงรวบรวมสถานที่สุดโรแมนติกรอบกรุงเทพ 15 แห่งมาฝากกันค่ะ รับรองว่ามีสถานที่ที่คุณคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน เริ่มกันที่...


สะพาน


          ในตอนเย็นที่แดดร่มลมตก การจราจรไม่หนาแน่นเหมือนช่วงกลางวัน หากได้ไปเดินเล่นบนสะพานที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมกับดูแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอื่อย ๆ ช้า ๆ ด้านล่าง และถ่ายรูปสวย ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกในวันวาเลนไทน์ก็คงจะดี ดังนั้น สะพานที่โรแมนติกในกรุงเทพคงไม่พ้น "สะพานกรุงเทพ" สถานที่ถ่ายทำละครและมิวสิควิดีโอหลายเรื่อง ซึ่งสะพานกรุงเทพนี้ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกถนนตก มีเสาโครงสวยงามเหมาะกับการเดินเล่นในช่วงที่ไม่มีการจราจรหนาแน่นนัก

          หรือไม่อย่างนั้น สะพานที่ขึงด้วยเคเบิลเป็นเอกลักษณ์อย่าง "สะพานพระราม 8" ก็น่าสนใจไม่น้อย ซึ่งสะพานพระราม 8 อยู่ตรงทางเชื่อมต่อกับทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี บรรจบกับถนนวิสุทธิกษัตริย์ แม้ว่าระยะทางสะพานจะยาวหน่อย แต่ก็ไม่น่าพลาดสำหรับคู่รักที่อยากแนบชิดแอบอิงโรแมนติก พร้อมกับดูแม่น้ำเจ้าพระยาสะท้อนแสงไฟในยามค่ำคืน


สวนสาธารณะ


          สวนสาธารณะน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคู่รักที่หาสถานที่ไปเดินเล่นใน ตอนกลางวัน และอยากสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ พร้อมกับทำกิจกรรมสนุก ๆ เช่น ปั่นจักรยาน ให้อาหารปลา นอนเล่น อ่านหนังสือ หรือทำอาหารไปปิคนิคกัน ดังนั้น สวนสวย ๆ อย่าง "สวนรถไฟ" หรือ "สวนวชิรเบญจทัศ" ที่อยู่บนถนนกำแพงเพชร 3 คงจะตอบโจทย์ให้กับคู่รักทุกคู่ได้เป็นอย่างดี เพราะที่นี่สามารถเช่าจักรยานและปั่นเคียงคู่กันไปได้สะดวก ทั้งยังมีอุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพฯ ให้ทุกคนเข้าไปยลโฉมปีกสวยงามของผีเสื้อ หรือสวนปิคนิคที่ทุกคนสามารถหาเสื้อไปปูเสื่อ และนั่งทานอาหารภายใต้ต้นไม้ใหญ่ โรแมนติกเหมือนเมืองนอกสุด ๆ

          แต่ถ้าหากสวนรถไฟไกลเกินไปแล้ว "อุทยานเบญจศิริ" หรือ "สวนลุมพินี" ที่อยู่ในเขตใจกลางเมือง ก็สงบ ร่มรื่น และน่าเที่ยวไม่แพ้กัน แถมยังเเวดล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าและออฟฟิศต่าง ๆ ชนิดที่ว่า หากเลิกงานแล้ว ก็สามารถเดินเล่นจูงมือกันในสวน โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกลเลยทีเดียว


 ท้องฟ้าจำลอง            เมื่อถึงวันวาเลนไทน์ หากใครอยากดูดาวกับแฟนแต่ว่าท้องฟ้าในกรุงเทพฯ ไม่เป็นใจ การไปท้องฟ้าจำลองน่าจะตอบโจทย์ความโรแมนติกได้ดีที่สุด เพราะแม้ว่าที่นี่จะเป็นท้องฟ้าที่จำลองมาจากของจริง แต่ความรู้สึกเมื่อได้ดูดาวด้วยกันแล้วนั้น ไม่จำลองเลย เพราะที่นี่จะฉายภาพดาวฤกษ์กว่า 9,000 ดวง และฉายภาพกาแลกซี่ ทางช้างเผือก ดาวหาง ดาวตก ชนิดที่ว่า ไม่ต้องไปไหนไกล แค่มาที่ท้องฟ้าจำลองก็ได้สัมผัสบรรยากาศโรแมนติก เหมือนมีผ้าห่มเป็นท้องฟ้าขนาดใหญ่มหาศาล ห่มคู่รักด้วยหมู่ดาวเลยทีเดียว


 ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา           ในวันวาเลนไทน์หลาย ๆ คนอาจจะต้องทำงาน และมีเวลาไปเจอกับแฟนเพียงแค่ช่วงเย็นเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเวลาโรแมนติกสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการล่องเรือเจ้าพระยา ล่องไปจนถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนที่จะเดินทางกลับมากรุงเทพฯ อีกครั้ง  ซึ่งเรือนี้จะล่องไปเรื่อย ๆ ตามแม่น้ำเจ้าพระยา แถมคุณทั้งคู่ยังได้ดินเนอร์ใต้แสงดาว ลมเย็น ๆ โดยทุกคนสามารถสัมผัสบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกได้ ไม่ว่าจะเป็นวิวทิวทัศน์ 2 ข้างแม่น้ำ หรือจากแสงไฟที่สะท้อนสาดส่องขึ้นมา พร้อมกับอาหารสุดหรูอร่อยถูกปาก ถือว่านี่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ไม่มีเวลามาก แต่อยากสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกเหมือนกัน


สวนสนุก           หลายคนอาจจะลืมไปว่า ความตื่นเต้นและความสนุกสนานเมื่อครั้งไปเยือนสวนสนุกครั้งแรกนั้น เป็นอย่างไร ดังนั้น การได้ไปเที่ยวสวนสนุกในวันวาเลนไทน์ จึงน่าสนใจไม่น้อย อะ ๆ ไม่ต้องกลัวคนอื่นมองว่าแก่แล้วมาเที่ยวนะ เพราะสวนสนุกไม่จำกัดอายุคนเข้า ที่สำคัญคือ คุณทั้งคู่จะได้ไปควงแขนกันไปตื่นเต้นเร้าใจกับเครื่องเล่นนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น รถไฟเหาะตีลังกา, ไวกิ้ง, บ้านผีสิง, และแกรนด์แคนยอน ฯลฯ หรือจูงมือกันไปจ้องตาสวีตหวานที่ม้าหมุนก็ได้ และที่สำคัญห้ามพลาดในการชมความสนุกสนาน ครื้นเครง ที่ผสมผสานความน่ารักของขบวนพาเหรดแฟนซี แหม...ช่างถือเป็นวันแห่งการกระชากวัย ที่น่าจดจำกันเลยทีเดียว

สวนสัตว์           หากคู่รักคู่ไหนไม่ชอบความหวาดเสียว ตื่นเต้น แต่ชื่นชอบบรรยากาศสงบ ร่มรื่นของธรรมชาติ รักการชมนกชมไม้ ถีบเรือจักรยานใต้รูปหงส์สีชมพูหวานแหวว และถ่ายรูปคู่เก็บไว้เป็นที่ระลึก ดูแล้วน่ารักดีเหมือนในมิวสิควีดีโอ เราก็ขอแนะนำว่า "สวนสัตว์" เพราะน่าจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่โรแมนติกต้อนรับวันวาเลนไทน์ ที่สำคัญยังได้ไปชมความน่ารักน่าหยิกของสัตว์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น ช้าง, เก้ง, กวาง, ยีราฟ, ฮิปโปโปเตมัส, แพนด้าแดง และลิง ฯลฯ หรือชมการแสดงโชว์ความน่ารักของสัตว์ ที่มีให้ชมตลอดทั้งวันอีกด้วย เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้ทั้งความโรแมนติก ได้ทั้งภาพน่ารัก ๆ และความตื่นตาตื่นใจจากการแสดงโชว์ไปพร้อม ๆ กันเลยทีเดียว


ร้านอาหารริมน้ำ           เรียกว่าเป็นสถานที่โรแมนติกอีกหนึ่งแห่ง ที่สามารถหาได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง ชนิดที่อยู่ใกล้ที่ทำงานนิดเดียวหรือขับรถไปเอาบรรยากาศนอกเมืองก็ได้ สำหรับ "ร้านอาหารริมน้ำ" ซึ่งในวันวาเลนไทน์ ร้านส่วนใหญ่จะตกแต่งสถานที่อย่างหรูหรา โรแมนติก หวานแหวว เพื่อเอาใจเหล่าบรรดาคู่รักที่จะควงกันมาดินเนอร์ใต้แสงเทียน อีกทั้งบางแห่งก็จะมีโปรโมชั่นลดราคาอาหารสำหรับคนที่มากันเป็นคู่ นอกจากนี้ คู่รักยังสามารถเพิ่มดีกรีความโรแมนติกได้ด้วยการเซอร์ไพร์สของขวัญให้กัน และกัน อาจจะจองห้องส่วนตัวไว้ดินเนอร์ใต้แสงเทียนริมน้ำ ก็เก๋ไม่หยอกเหมือนกัน


ไหว้พระ 9 วัด   


          หากคู่รักคู่ไหน กำลังมองหาสถานที่ทำบุญ หรือว่าพลาดการไปไหว้พระ 9 วัดช่วงปีใหม่ ก็ถือเอาวันวาเลนไทน์ปีนี้ไปไหว้พระ 9 วัดแทนก็คงไม่สายเกินไป เพราะนอกจากจะได้ไปไหว้พระเพื่อขอความเป็นศิริมงคลให้เกิดขึ้นในชีวิตของตน เองและคนรักแล้ว ยังได้เดินทางสวีตไปรอบ ๆ เกาะรัตนโกสินทร์ แวะหาของกินอร่อย ๆ ระหว่างทาง สร้างความพิเศษให้กับวันวาเลนไทน์ได้ไม่น้อยทีเดียว

          ทั้งนี้ วัดทั้ง 9 ที่พูดถึงคือ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร, วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร, วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร, วัดพระศรีรัตนศาสดาราม, วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร, ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร และศาลเจ้าพ่อเสือ


 ดูคอนเสิร์ต
          คู่รักคู่ไหนที่ชื่นชอบในเสียงดนตรี หรือมีศิลปินโปรดในดวงใจแล้วล่ะก็ ลองไปดูคอนเสิร์ตด้วยกันในวันวาเลนไทน์สิ ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตกล้างแจ้งที่จัดขึ้นมากันช่วงวาเลนไทน์ แบบที่ขนศิลปินชื่อดังมาคับคั่งเพื่อขับกล่อมเพลงหวานซึ้งเข้ากันกับ บรรยากาศ หรือคอนเสิร์ตของศิลปินที่ชอบในร้านอาหาร ส่วนศิลปินหรือแนวเพลงที่ชอบจะเป็นแบบไหนนั้น ก็คงแล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน แต่เราขอแนะนำเพลงบอสซาโนวาเบา ๆ ยืนกุมมือกันในคอนเสิร์ต หรือจะพิงไหล่กันก็ตามสะดวก
  อย่างไรก็ตาม หากไม่อยากไปในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรแล้ว สถานที่โรแมนติกตามต่างจังหวัดก็มีเยอะไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นทะเลใกล้ ๆ อย่าง เกาะล้าน หัวหิน ชะอำ หรือบางคนชอบภูเขาก็ลองไป เขาใหญ่ สัมผัสบรรยากาศเย็น ๆ โอบล้อมด้วยขุบเขา มีคนรักอยู่ข้างกาย แหม...ช่างหวานอย่าบอกใครเชียว

          แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แบบไหน อยู่ที่ไหน หรือไกลแค่ไหน ก็คงไม่สำคัญเท่ากับคนที่เราอยู่ด้วย สถานที่เหล่านี้เป็นเพียงตัวสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นเท่านั้น แต่หากเราไปในสถานที่สุดโรแมนติก แต่แอบงอนอยู่กับแฟน อาจจะทำให้วันวาเลนไทน์ไม่สนุกเอาเสียเลย อีกอย่างหนึ่งคือ ต่อให้สถานที่ที่เราไปไม่ใช่ร้านอาหารราคาแพง หรือ หรูหราอะไรมากมาย แต่หากเราแสดงออกซึ่งความรู้สึกที่พิเศษต่อกัน และทำให้คนรับรู้สึกได้ถึงความรัก แค่นั้น บรรยากาศโรแมนติกก็มาหา แบบที่ว่าไม่ต้องไปไหนไกลเลยล่ะ ^^
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  คู่หูเดินทาง, siamparkcity.com, bangkokplanetarium.com   

ขึ้น ภูทับเบิก ชมวิวทะเลภูเขา






สายลมเย็น ๆ พัดเอื่อย ๆ ชวนให้นึกถึงภาพบรรยากาศทิวเขาสูงซับซ้อน ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา แหม ๆ ๆ ว่าแล้วเราก็นำพาตัวเองไปสัมผัสความรื่นรมย์ที่ว่ากันดีกว่า และ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่จะไป ท่องเที่ยว ก็คือ "ภูทับเบิก" จังหวัดเพชรบูรณ์ นั่นแน่! อยากไปเที่ยวแล้วใช่มั้ย ตามเข้ามาเลยค่ะ...

          ภูทับเบิก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตั้งอยู่ที่บ้านทับเบิก ตำบลวังบาล ห่างจากอำเภอหล่มเก่า 40 กิโลเมตร ตามเส้นทางจากหล่มเก่าไปภูหินร่องกล้า หรือห่างจากตัวจังหวัดเพชรบูรณ์ประมาณ 90 กิโลเมตร ภูทับเบิก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร เป็นจุดที่สูงที่สุดของเพชรบูรณ์ มีสภาพภูมิประเทศที่สวยงามด้วยธรรมชาติแบบทะเลภูเขา มีอากาศบริสุทธิ์ สภาพภูมิอากาศเย็นสบายตลอดปี เนื่องจากร่องลมเย็นจากเทือกเขาหิมาลัยและอยู่บนที่สูง จึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยช่วงเช้าจะมองเห็นกลุ่มเมฆ และทะเลหมอกตัดกับยอดเทือกเขาเพชรบูรณ์   



นอกจากนี้ ภูทับเบิก ยังเป็นสถานที่ที่สำคัญของจังหวัดเพชรบูรณ์ คือ เป็นจุดรองรับน้ำฟ้ากลางหาว (เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2542) เพื่อนำไปรวมเป็นน้ำเพชรน้อมเกล้า ถวายเป็นน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2542

          ปัจจุบัน ภูทับเบิก เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ซึ่งได้อพยพมาอาศัยอยู่ที่บ้านทับเบิก หมู่ที่ 14 และหมู่ที่ 16 โดยอยู่ในความดูแลของศูนย์พัฒนาสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วยอาชีพทำการเกษตรแบบขั้นบันไดตามเชิงเขา ในช่วงปลายฝนต้นหนาว จะพบเห็นไร่กะหล่ำปลีอยู่สองข้างถนนสู่ทับเบิกสวยงาม ในราวเดือนธันวาคม-มกราคม จะมี ดอกซากุระ หรือ นางพญาเสือโครง สีชมพูบานสะพรั่งไปทั้งภูเขา 







อกจากนี้ ในยามค่ำคืนยังมองเห็นแสงไฟระยิบระยับจากบ้านเรือนในอำเภอหล่มสัก ที่อยู่เบื้องล่าง เปรียบได้กับ "ดาวบนดิน" จาก สภาพดังกล่าว ทำให้ภูทับเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวที่นิยมสัมผัสบรรยากาศที่หนาวเย็น วิถีชีวิตชาวเขา และแหล่งธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ภายใต้คำกล่าวที่ว่า "นอนทับเบิก สัมผัสความหนาว ดูดาวบนดิน" โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวก บริเวณหมู่บ้านทับเบิกและจุดชมวิว มีบ้านพัก เต็นท์ และร้านอาหารเปิดบริการแก่นักท่องเที่ยว     




การเดินทางสู่...ภูทับเบิก

          จากเพชรบูรณ์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 21 ประมาณ 40 กิโลเมตร ถึงสี่แยกหล่มสัก ตรงไปตามทางหลวงหมายเลข 203 อีก 13 กิโลเมตร พบป้ายบอกทางไปอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตามทางหลวง 2011 และทางหลวงหมายเลข 2331 อีก 40 กิโลเมตร ถึงด่านเก็บค่าธรรมเนียมของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จากตรงนี้มีทางแยกขวาเข้าหมู่บ้านทับเบิกไปอีก 6 กิโลเมตร เส้นทางจากหล่มเก่ามาภูทับเบิกจะสูงชันและคดเคี้ยวมาก รถบัสไม่สามารถขึ้นได้ ผู้ที่ใช้รถยนต์หรือรถตู้ ควรขับรถด้วยความระมัดระวัง

          อีกเส้นทางหนึ่งใช้เส้นทางด้านอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ผ่านอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เลยที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มาประมาณ 24 กิโลเมตร จะถึงภูทับเบิก หากขับรถต่อไปจะมาบรรจบกับเส้นทางที่จะลงไปยังอำเภอหล่มเก่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ททท

มองเรา มองลาว เลาะล่อง ณ ปากเซ

มองเรา มองลาว เลาะล่อง ณ ปากเซ


     รั้วธรรมชาติอันเขียวขจี ร่มรื่นริมสองฝั่งข้างทางถนน เป็นภาพที่คุ้นตาคล้ายบรรยากาศชนบทของไทย "ปากเซ" เมืองหลวงของแขวงจำปาสัก ดินแดนตอนใต้สุดของประเทศลาว เป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ รายล้อมด้วยภูเขาสูงใหญ่และป่าไม้เขียวขจี เนื่องจากมีแม่น้ำโขงไหลผ่านกลางและเกิดเกาะแก่งเป็นจำนวนมากจนได้ชื่อว่า "ดินแดนสี่พันดอน"

      เมือง ปากเซ จึงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันหลากหลาย ทั้งยังมีความสำคัญทางการค้าและเดินทางสะดวก เพียงผ่านพรมแดนที่ช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี แล้วเดินทางมาตามทางหลวงหมายเลข 10 ของลาว เมื่อถึงแม่น้ำโขงแล้วจึงข้ามสะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น ก็เข้าสู่เมืองปากเซแล้ว




     สถาปัตยกรรมในเมืองปากเซยังคงเป็นตึก 2 ชั้นทรงฝรั่งเศสตั้งแต่สมัยลาวถูกฝรั่งเศสปกครอง และในบางส่วนที่ถูกต่อเติม "วังเจ้าบุญอุ้ม" (เจ้าผู้ครองแขวงจำปาสักองค์สุดท้าย) หรือปัจจุบันเป็นโรงแรมจำปาสักพาเลซ เป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความเป็นฝรั่งเศสอย่างแท้จริง มีจุดเด่นตรงตึกเป็นทรงยุโรปสวยงาม มีหน้าต่างมากมาย จนได้รับชื่อว่า "ศาลาพันห้อง" ว่ากันว่า หากใช้คนเปิด-ปิดหน้าต่างทั้งหมดต้องใช้เวลาถึง 1 วันกันเลยทีเดียว ซึ่งเจ้าบุญอุ้มเจ้าของวังเดิมไม่เคยได้พักด้วยเหตุทางการเมืองจำต้องลี้ภัย ไปอยู่ฝรั่งเศสซะก่อน



     หากได้มาเลาะล่อง (ภาษาลาวแปลว่าท่องเที่ยว) ลาวใต้ สถานที่เที่ยวที่สำคัญอย่างตาดหรือน้ำตก ที่ได้รับสมญานามว่าแกรนด์แคนยอนแห่งลาว ไนแองการาแห่งเอเชียของ "น้ำตกหลี่ผี" และ "น้ำตกคอนพะเพ็ง" จึงจะถือว่าได้มาถึงลาวใต้โดยแท้จริง ในการเดินทางมาชมอาจจะขลุกขลักบ้าง เพราะต้องเดินทางด้วยรถ ต่อด้วยเรือหางยาวแล่นผ่านลำน้ำโขง และต่อด้วยรถอีแต๊กระยะทาง 2 กิโลเมตร แต่มโนทัศน์ ความสวยงามของธรรมชาติ วิถีชีวิตริมฝั่งโขง มหานทีสี่พันดอน ซากโบราณสถานโบราณวัตถุอย่างสะพานท่าเทียบเรือขนส่งสินค้า หรือหัวรถจักรสมัยฝรั่งเศส ทำให้เพลิดเพลินจนลืมเวลา แต่กลับคุ้มค่าเมื่อเห็นความงดงามของสายน้ำตกอันลือชื่อ



     น้ำตกสามตาด อันได้แก่ ตาดเยือง ตาดฟาน และตาดผาส้วม เป็นสถานที่ไม่ควรพลาด ตาดเยือง (น้ำตกเลียงผา) ความงดงามของน้ำตกที่ไหลผ่านชั้นหินตามแนวไหล่เขาที่ปกคลุมด้วยแมกไม้สี เขียวสด ผสมด้วยไอหมอกและเปียกปอนไปกับละอองน้ำตกที่โปรยปราย ตาดฟาน คำว่า "ฟาน" หมายถึง เก้ง หรือกวาง เป็นน้ำตกที่ใช้แม่น้ำสายเดียวกันกับตาดเยือง นับเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดของลาว คือระยะทางราว 200 เมตร  ตาดฟานถือเป็นน้ำตกคู่ที่มีความสวยงาม เพราะเป็นน้ำตกที่เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของสายน้ำสองสายบนภูเขาสองลูก 




ตาดผาส้วม น้ำตกชื่อแปลกในภาษาไทย ส้วมภาษาลาวแปลว่า ห้องหอ ห้องนอนของบ่าวสาว น้ำตกกว้างใหญ่ที่สวยงามท่ามกลางผาหิน ที่มีลักษณะเป็นแท่ง ๆ เรียงรายกันคล้ายระเบียง เมื่อมีม่านน้ำรินไหลผ่านก็ดูเหมือนห้องนอนที่ห้อมล้อมด้วยผ้าม่านผืนบางเบา สมกับชื่อ "ส้วม" ที่แปลว่าห้องหอหรือห้องนอน

          หลังจากอิ่มเอมจากการเลาะล่องแล้วก็ควรจะหาอาหารมาเติมให้อิ่มท้อง อาหารที่หารับประทานได้ง่ายที่สุดก็คือ "เฝอ" เฝอคือก๋วยเตี๋ยวซึ่งลาวรับมาจากเวียดนามนั่นเอง มีทั้งเฝอเนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อวัว (ลาวใช้คำว่า ชิ้นหมู ชิ้นไก่ ถ้า "ชิ้น" เฉย ๆ หมายถึงเนื้อวัว) มีเส้นใหญ่และเส้นเล็กหรือเส้นน้อยให้เลือก ถ้าให้ครบสูตรต้องเสิร์ฟพร้อมผักเหนาะเยอะ ๆ ชอบเผ็ดก็กินกับพริกขี้หนูจิ้มกะปิ ตัดรสด้วยมะละกอดอง ร้านขายเฝอส่วนใหญ่มักไม่มีชื่อร้าน มีขายทั่วไปทั้งแบบเป็นร้านอาหารและแผงข้างทาง ชามนึงตกราว ๆ 15,000 กีบ หรือราว ๆ 60 บาท




มาถึงริมโขงก็ต้องชิมอาหารจานปลาแม่ น้ำสารพัดอย่าง ได้แก่ ปลาคังลวกจิ้ม ต้มยำปลาคังใส่มะเขือเทศ ลาบปลาคังใส่สะระแหน่ ผัดเผ็ดปลาคัง ทานคู่กับข้าวหรือจะเป็นกับแกล้มกับเบียร์ลาวรสชาติก็ไม่เลว

          ลาวสามารถ ท่องเที่ยวได้ทุกฤดูกาล แต่ฤดูที่เหมาะสมที่สุดในการล่องตาด (เที่ยวน้ำตก) คือช่วงเดือนตุลาคม– พฤศจิกายน เพราะจะเห็นความงามจากกระแสน้ำจำนวนมากที่ไหลบ่าถาโถมผ่านเนินหินโขดหินลงมา ด้วยกำลังแรงแตกเป็นละอองสีขาวไปทั่วแก่งดูสวยงามตื่นตาตื่นใจ


     ในปัจจุบันถึงแม้ประเทศลาวจะมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ ให้ความสนใจและเดินทางมาเป็นจำนวนมาก แต่ลาวก็ยังสามารถรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ตลอดจนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และมีความเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ยิ่งเฉพาะกับชาวไทยด้วยแล้ว ก็เสมือนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรือขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังรู้จักปรับตัวในการดำรงชีวิต แต่ก็ยังอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี

          ตลอด จนการแต่งกายโดยการนุ่งซิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ และความภาคภูมิใจของคนลาว ทำให้ไม่ยากเลยที่จะทำให้คนที่มีโอกาสมาเยือนต่างก็หลงเสน่ห์และตกหลุมรัก เมืองและผู้คน เสมือนกวีที่ประพันธ์เพลงรักจากฝั่งลาว หรือพระเอกหนังเรื่องสบายดีหลวงพระบางก็เป็นได้



ขอขอบคุณข้อมูลและข้อความจาก

ไทยโพสต์

ขึ้นเหนือนมัสการ 2 พระธาตุศักดิ์สิทธิ์

พระธาตุช่อแฮ

     ในเดือนมีนาคมนี้ หากใครยังไม่มีโปรแกรมไปท่องเที่ยวที่ไหน วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเสนอกิจกรรมดี ๆ นั่นก็คือ การไปไหว้พระขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต ด้วยการขึ้นเหนือไปนมัสการ "พระธาตุแช่แห้ง" และ "พระธาตุช่อแฮ" 2 พระธาตุศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพของประชาชนทั่วประเทศไทย เพราะมี "งานประเพณีนมัสการพระธาตุแช่แห้ง" และ "งานประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ เมืองแพร่แห่ตุงหลวง" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ...

พระธาตุแช่แห้ง


ประเพณีนมัสการพระธาตุแช่แห้ง

           กำหนดจัดในวันขึ้น 9 ค่ำ ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ใต้ (เดือน 6 เหนือ) ในปีนี้ตรงกับวันที่ 1 - 7 มีนาคม 2555 ณ วัดพระธาตุแช่แห้ง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน ตามคติการไหว้พระธาตุตามปีนักษัตรของชาวล้านนาเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ เชื่อว่าอานิสงส์การบูชา จะเกิดบารมีได้รับการอุดหนุนค้ำชู การมีชื่อเสียง ลาภยศ สรรเสริญ ความมั่นคง

           ภายในงานนักท่อง เที่ยวจะได้พบกับ ขบวนแห่เครื่องหลวง และขบวนอัญเชิญผ้าทิพย์ห่มองค์มหาพระธาตุฯ และน้ำทิพย์สักการะองค์มหาพระธาตุฯ การเจริญพระพุทธมนต์หลวง เป็นพิธีสวดมนต์แบบล้านนาโบราณ (สวดมนต์ตั๋น) พิธีสืบชาตาหลวง ส่งเคราะห์ หลีกเคราะห์ ต่ออายุ รับโชค มหกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน มหกรรมการตีกลองปีชา มหกรรมการแข่งขันการประดิษฐ์โคมแขวน และการแข่งขันยิงพลุดอกไม้ไฟ มหกรรมสะล้อ ซอ ปิน และมหรสพอื่น ๆ อีกมากมาย

           ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สภาวัฒนธรรม โทรศัพท์ 054-711651, 054-710341 และ ททท. สำนักงานแพร่ โทรศัพท์ +66 5452 1118, +66 5452 1127 และ +66 5452 1119


พระธาตุช่อแฮ


งานประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ เมืองแพร่แห่ตุงหลวง

           งานประเพณีไหว้พระ ธาตุช่อแฮ เมืองแพร่แห่ตุงหลวง ประจำปี 2555 ณ วัดพระธาตุช่อแฮ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ กำหนดจัดในวันขึ้น 9 ค่ำ ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ใต้ (เดือน 6 เหนือ) ในปีนี้ตรงกับวันที่ 1 - 7 มีนาคม 2555 ณ วัดพระธาตุช่อแฮ ตำบลช่อแฮ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกิดปีขาลไม่ควรพลาดที่จะมานมัสการพระธาตุช่อแฮ ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีขาล เพื่อความเป็นสิริมงคล และเสริมทานบารมี เชื่อว่าอานิสงส์การบูชาพระธาตุช่อแฮ จะทำให้เกิดบารมีด้านความเจริญรุ่งเรือง ความร่ำรวย และความสุข

           กิจกรรมในวันแรกของการจัดงาน คือวันที่ 1 มีนาคม 2555 เวลา 15.00 น. จะมีขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา เพื่อบูชาองค์พระธาตุช่อแฮ ประกอบด้วยขบวนตุงหลวง และตุงบริวาร ขบวนช้าง ขบวนม้า ขบวนผ้าแพรคลุม พระธาตุ 12 ราศี ขบวนเศวตพานพุ่ม ขบวนเทพีโปรยข้าวตอกดอกไม้ ขบวนผู้อาวุโสแต่งกายชุดไทยล้านนา และการประกวดขบวนเครื่องบูชาจากทุกอำเภอ

           ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เทศบาลตำบลช่อแฮ ตำบลช่อแฮ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ โทรศัพท์ 054-599021 และ ททท. สำนักงานแพร่ โทรศัพท์ +66 5452 1118, +66 5452 1127 และ +66 5452 1119



ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ททท.  และ คู่หูเดินทาง


หรรษาแดนภูเก็ต เมืองไข่มุกอันดามัน







หรรษาแดนไข่มุกอันดามัน (lisa)

          ภูเก็ต นับได้ว่าเป็นจุดหมายปลายทางวันพักผ่อนในฝันของใครหลายๆคน ด้วยเสน่ห์ความงามตระการตาที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้งในประเทศและทั่วทุก มุมโลก ให้ได้มาสัมผัสประสบการณ์การท่องโลกทะเลสีฟ้าใสตัดกับผืนฟ้าสีครามกันดูสัก ครั้ง

          เรามีโอกาสได้ไปเยือนภูเก็ตซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์แห่งนักท่องเที่ยว ในช่วงที่เหตุการณ์วุ่นวายจากน้ำท่วมในกรุงเทพฯ เริ่มคลี่คลายลง คราวนี้จึงได้เวลาผ่อนคลายกันสักทีโดยมีสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส พาเราบินลัดฟ้าไปยังแดนไข่มุกอันดามัน และมุ่งหน้าสู่หาดกะตะ ที่ตั้งของคลับเมดภูเก็ต ที่ได้มีการปรับโฉมใหม่ครั้งใหญ่ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนรีสอร์ทที่ใหญ่ขึ้นและมอบความสะดวกสบาย พร้อมบรรยากาศอันหรูหรา ในสไตล์คอนเทมโพรารี่ไทยที่เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น






เยือนหมู่เกาะพีพีในฝัน

          แม้สภาพอากาศจะไม่สดใสซะทีเดียว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการลงเรือสปีดโบ๊ตไปเที่ยวชมความงามของอ่าวพังงา มุ่งหน้าไปยังเกาะพีพีเพื่อลงสำรวจที่หมายแรกคืออ่าวมาหยาซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของเกาะพีพีเล อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะเวียนกันมาอย่างหนาตา เพื่อยลความสวยงามของหินผาและหาดทรายสีขาวเนียนละเอียดที่ใครๆก็ต้องเก็บภาพ ไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อย และตื่นตาตื่นใจกับน้ำทะเลสีฟ้าสุกใสเมื่อได้ชมวิวในส่วนหมู่เกาะรอบๆ ใกล้กับอ่าวปิเล๊ะ ซึ่งมีเกาะที่เป็นถ้ำนกนางแอ่น แหล่งของรังนกแท้  ไปฝากท้องมื้อกลางวันและเที่ยวชมตำบลอ่าวนางบนเกาะพีพีดอน จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยการพักผ่อนอิริยาบถกันแบบสบายๆยามบ่ายที่เกาะไข่นอก เกาะขนาดเล็กในเขตจังหวัดพังงา มีความสวยงามตามธรรมชาติด้วยโขดหิน หาดทรายขาว และน้ำทะเลใสแจ๋ว ลมเย็นๆช่วยให้เอนกายลงบนหาดทรายกันได้อย่างเพลิดเพลินจนเกือบลืมเวลาเลยที เดียว







พักผ่อนอย่างบันเทิงใจแบบครบถ้วนที่คลับเมด

          คลับเมดเป็นรีสอร์ตที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากโรงแรมอื่น เพราะที่นี่จะถูกเรียกว่าเป็น Village หรือหมู่บ้าน มีเหล่า G.Os. ประจำแต่ละส่วนของหมู่บ้าน ซึ่งทำหน้าที่มอบทั้งบริการสุดประทับใจ และสรรหากิจกรรมเพื่อความบันเทิงให้กับแขกผู้มาเยือนได้ร่วมสนุกกันตลอดวัน โดยที่ยังคงคอนเซ็ปรวมทุกอย่างไว้ในราคาเดียว ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของคลับเมด และที่นี่เราได้อิ่มใจกับความบันเทิงด้วยโชว์สนุกๆจากเหล่า G.Os. ที่ตั้งใจนำเสนอกันเต็มที่ ซี่งจะมีการจัดแสดงทุกคืนโดยผลัดเปลี่ยนโชว์หมุนเวียนกันไป และสนุกกับบรรยากาศยามค่ำคืนเคล้าเสียงดนตรีและค็อกเทลที่บาร์ซึ่งบริการ เครื่องดื่มและค็อกเทลนานาชนิดแบบไม่อั้นหลังมื้ออาหารค่ำที่ได้อิ่มอร่อย กับบุฟเฟต์อาหารนานาชาติสารพัดเมนู






เพื่อประสบการณ์วันหยุดที่สมบูรณ์แบบ คลับเมดได้มีการปรับโฉมในหลายส่วน เริ่มจากล็อบบี้ส่วนต้อนรับที่เน้นบรรยากาศกลิ่นอายความเป็นไทย ส่วนบาร์ที่ผสมผสานการออกแบบอย่างไทยๆเข้าไป ร่วมกับแสงสีที่หลากหลายเพื่อบรรยากาศแห่งความสนุก บนพื้นที่เลานจ์กว้างขวางเหมาะแก่การพบปะสังสรรค์ Club Med Spa by Payot สปาที่เริ่มเปิดบริการแล้ว ด้วยทรีทเมนต์ชั้นนำจากปารีสอย่างปาโยต์ รวมทั้งบริการพิเศษที่ไม่เหมือนใครคือ Mini Club ที่เหล่าผู้ปกครองสามารถนำบุตรหลานทั้งเด็กทารกและเด็กเล็กไปฝากได้ โดยจะมีทีมคอยดูแลใกล้ชิดและสรรหากิจกรรมสนุกๆให้กับเด็กๆ เช่นนำขยะที่เก็บได้จากริมหาด มาเปลี่ยนเป็นงานประดิษฐ์จากความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ครบครันด้วยกิจกรรมอื่นๆ เช่นผู้เข้าพักสามารถใช้ช่วงเวลากับหาดทรายสีขาวยาวนับกิโลเมตรริมหาดกะตะ กับกลอ์ฟ 9 หลุม และกีฬาชนิดอื่นๆ ตื่นตากับการดำน้ำตื่นชมปะการัง และสามารถเอนจอยกับการให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำน้ำลึกอีกด้วย


เชื่อว่าคนรักทะเลที่ได้มาสัมผัสบรรยากาศ ทะเลสวยๆ สีฟ้าอมเขียวมรกตอันสดใสที่หาดกะตะนี้แล้ว ย่อมได้รับความประทับใจกลับเป็นของฝากกลับบ้าน และคงต้องหาทางกลับมาเยือนอีกอย่างแน่นอน


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

lisaguru

the butterfly effect..หนังในดวงใจตลอดกาล


   และนี่คือโปสเตอร์หนังเรื่องโปรดของผม the butterfly effect หรือชื่อไทย เปลี่ยนตายไม่ให้ตาย เป็นเรื่องแรกที่ดูแล้วดูอีกเวลาว่างๆ ผมเคยดูไปรอบแรก ไม่ค่อยอินพอมาดูอีกที อินเข้าไปถึงกระดูกกันเลยทีเดียว ตัวหนังทำออกมาได้ลงตัวสุดๆ มันเป็นเรื่องของการย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขอดีตและถ้าเมื่อเราแก้ไขอดีตแล้ว มันก็จะส่งผลต่ออนาคตด้วย ถ้าแก้ดีก็ดีไป แต่ถ้าแก้ไม่ดีอนาคตก็อาจจะเป็นอนาคตที่เลวร้ายก็ได้

  

  
 สำหรับคนที่ไม่เคยดูผมก็จะเล่าเรื่องย่อๆให้ฟังนะครับ  Butterfly Effect นำเสนอถึงเรื่องราวของชายหนุ่มที่มีความสามารถที่อธิบายไม่ได้ ที่จะย้อนเวลากลับไป เพื่อแก้ไขเรื่องในอดีต เพื่อช่วยคนรักของเขา โดย Time Machine ของเค้าก้อคือ สมุดบันทึกประจำวันที่เค้าเขียนมาตลอดทุกวัน ทำให้เค้าเลือกที่จะข้ามผ่านกาลเวลา เพื่อไปแก้ไขบางเรื่องให้ถูกต้อง แต่เมื่อแก้ไขอย่างหนึ่ง มันก้อกลับไปกระทบอีกสิ่งหนึ่ง เป็นลูกโซ่ และทุกครั้งที่เค้ากลับไปแก้เรื่องหนึ่ง จะต้องมีคนหนึ่ง ที่จะต้องศูนย์เสีย และเจ็บปวด



    ตอนแรกผมดูก็มีเบื่อๆบ้างเพราะหนังดำเนินมาตั้งแต่ต้นจริงๆ ต้นเรื่องคือพระเอกในวัยเด็ก มาจนเรื่อยๆถึงวัยรุ่น ก็จะเจอสภาพสังคมอันเลวร้าย โดนนู่นนี่จนโตมา ก็มาบังเอิญสามารถรู้ว่าตัวเองย้อนเวลาได้ เลยกลับไปแก้ไขอดีตอันแสนเลวร้าย แรกๆนี่คือตัวพระเอกจะช่วยเหลือแต่นางเอกนะครับ แต่พอดูไปนานๆ พระเอกก็จะมีการช่วยเหลือคนนู้นคนนี้ เพราะในขณะที่อีกคนมีความสุข อีกคนก็มักจะมีความทุกข์ และคนที่จะแก้ไขมันได้ก็คือพระเอกของเราเนี่ยแหละครับ ซึ่งนำแสดงโดย แอชตัน คุชเชอร์ ผมว่าเขาแสดงดี หน้าตาหล่อพอมาเจอบทแบบนี้เลยหล่อไปกันใหญ่ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ เป็นเรื่องแรกที่คนดูบอกว่าเป็นบทบาทที่เขาเล่นได้ดีที่สุด มีการพัฒนาการเล่นที่สุดยอดมาก ด้วยสีหน้าและท่าทาง ตีบทแตกกระจาย ทำเอาผมอินไปนานเลย หนังเรื่องนี้เลยอยู่ในดวงใจผมมาตลอด


  
    ตัวหนังทำให้ผมคิดถึงคำพูดของผมและของใครๆอีกหลายคนที่ต้องมีพูดกันบ้างล่ะว่า "อยากย้อนเวลากลับไป" ตัวผมเองก็เคยคิดอยากจะย้อนไปทำสิ่งนี้ และถ้าเลือกได้จะไม่้ทำสิ่งนั้น แต่นั่นน่ะมันก็เป็นความคิดสมัยยังเด็กๆกันนัก พอโตมารู้เรื่องแล้ว ก็จะได้รู้ว่า เรานั้นแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ครับ ด้วยการทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุดเนี่ยแหละ

Coldplay






    โคลด์เพลย์ (อังกฤษ: Coldplay) เป็นวงดนตรีร็อคจากลอนดอน, สหราชอาณาจักร ก่อตั้งวงในปี พ.ศ. 2541 มีเพลงดังอย่าง "Yellow", "Speed Of Sound", และ "In My Place" เป็นต้น

    วงได้ก่อตั้งขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ.2541 โดยเด็กนักเรียน จาก UCL ซึ่งนั่นก็ได้แก่ คริส มาร์ติน, จอน บั๊คแลนด์, กาย เบอร์รี่แมน และ วิล แชมป์เปี่ยน พวกเขาลงทุนบันทึกเดโมเทปด้วยตัวเอง ทำ อีพีเซฟตี้ (EP safety)

    ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกที่ โคลด์เพลย์บันทึกเสียงหนึ่งในเพลงของพวกเขา “Bigger Stronger” เป็นเพลงที่ถูกจับตา มองจากสื่อต่างในอังกฤษๆ เป็นอย่างมาก โคลด์เพลย์ได้ไปแสดงที่เดอะฟอลค่อน ย่านแคมแดน ในเดือนธันวาคม ที่ซึ่งพวกเขาถูกจับตามองเป็นอย่างมากจากบรรดาสื่อที่มีอิทธิพล ค่ายเพลงเฟียร์ซ แพนด้า และไซม่อน วิลเลี่ยม จากนิตยสาร NME (นิตยสารวงการเพลงอัลเทอร์เนทีฟผู้ซึ่งทำให้วงของพวกเขาดังเป็นพลุแตก

 ซิงเกิ้ลฮิต “Brother & Sister” ที่ทำกับค่ายเฟียร์ซ แพนด้าได้เข้าไปติดชาร์ตท็อปวันฮันเดรดในช่วงต้นปี 2542 ในเดือนพฤษภาคม โคลด์เพลย์ก็ได้ทำสัญญากับค่ายพาร์โลโฟนจากการที่พวกเขาได้ไปปรากฏตัวในงานเทศกาลดนตรี แกลสตันบิวรี่ ก็ได้ปล่อย อีพีชุดใหม่คือ “The Blue Room” ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกที่ทำกับ ค่ายพาร์โลโฟน ในปี พ.ศ. 2543 พวกเขาก็ออกทัวรคอนเสิร์ต ร่วมกับวงหน้าใหม่ Terris และเล่นเป็นวงเปิดให้กับวง Muse




 เพลงที่ยอดฮิตของพวกเขาคือ Shiver, Yellow และ Trouble ในอัลบั้ม Parachutes ที่วางแผงในเดือน กรกฎาคม และวงของพวกเขายังได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Mercury MusicPrize อีกด้วย

                                                 (Yellow เพลงเปิดตัวที่โด่งดัง)


    อัลบั้มที่ 2 A Rush of Blood to the Head โคลด์เพลย์ได้กลับสตูดิโอเพื่อทำอัลบั้มในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 อัลบั้มออกวางขายเดือน สิงหาคม 2002 อัลบั้มนี้มีเพลงฮิตอย่าง "In My Place", "The Scientist", และ "Clocks" นอกจากนั้นเพลง "Clocks" ยังได้รางวัลแกรมมี่สาขา Record of the Year ไปอีกด้วย

                                    (In My Place เพลงที่เสียงของกีต้าร์เป็นเสียงที่ติดหูคนฟัง)

                                      (The Scientist มิวสิควิดีโอสุดแนวที่ว่าด้วยการย้อนกลับ)

    หลังทิ้งช่วงจากอัลบั้ม A Rush Of Blood To The Head เป็นเวลา 2 ปีกว่า 6 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ก็ได้ออกอัลบั้ม X&Y (เอ็กซ์ แอนด์ วาย) ที่พวกเขาได้ตระเวน ทำการบันทึกเสียงถึง 8 สตูดิโอไม่ว่าจะเป็นที่ชิคาโก, นิวยอร์ก, ลอสแอนเจลิส, ลิเวอร์พูล, และลอนดอน กับซิงเกิ้ลแรก “Speed of Sound” ที่เปิดตัวอันดับ 8 ชาร์ตบิลบอร์ดในอาทิตย์แรก สร้างสถิติเป็นวงจากอังกฤษวงที่สองต่อ จาก เดอะ บีทเทิลส์ ที่สามารถนำซิงเกิ้ลที่ปล่อยไปเพียงอาทิตย์แรกเข้าสู่ Top 10 ของชาร์ตฝั่งอเมริกา วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2549 โคลด์เพลย์ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Front Row ทาง BBC Radio 4 ว่า Brian Eno จะมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้อัลบั้มที่ 4 ของพวกเขานอกจากนั้นเดือน มีนาคม พ.ศ. 2549 Timbaland ได้บอกกับนิตยสาร GQ Magazine ว่าเขาจะมาร่วมทำอัลบั้มให้กับโคลด์เพลย์ในอัลบั้มหน้าด้วย


ขอบคุณข้อมูลจาก 
you2play

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เที่ยวลพบุรี ชมพระปรางค์สามยอด


จังหวัดลพบุรี มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งนอกจาก ทุ่งทานตะวัน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถ้ำเทวาพิทักษ์ แล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ วันนี้เราจึงจะพาเพื่อน ๆ ไปยลโฉมความอลังการและงดงามของ พระปรางค์สามยอด โบราณสถานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดกัน

          พระปรางค์สามยอด ตั้งอยู่บนเนินดินด้านตะวันตกของทางรถไฟ มีลักษณะเป็นปรางค์เรียงต่อกัน 3 องค์ มีฉนวนทางเดินเชื่อมติดต่อกัน พระปรางค์สามยอดเป็นศิลปะเขมรแบบบายน ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 สร้างด้วยศิลาแลง และตกแต่งลวดลายปูนปั้นที่สวยงาม เสาประดับกรอบประตูแกะสลักเป็นรูปฤาษีนั่งชันเข่าในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งเป็นแบบเฉพาะของเสาประดับกรอบประตูศิลปะเขมรแบบบายน ปรางค์องค์กลางมีฐาน แต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแ ละมีเพดานไม้เขียนลวดลายเป็นดอกจันสีแดง

          ด้านหน้าทางทิศตะวันออก มีวิหารสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ปางสมาธิที่สมบูรณ์ดี เป็นศิลปะแบบสมัยอยุธยาตอนต้น อายุราวพุทธศตวรรษที่ 20 แต่เดิมปรางค์สามยอดนี้คงเป็นเทวสถานของขอมในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ต่อมาได้ดัดแปลงเป็นเทวสถาน โดยมีฐานศิวลึงค์ปรากฏอยู่ในองค์ปรางค์ทั้งสามปรางค์

          จนกระทั่งถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงได้บูรณะปฏิสังขรณ์พระปรางค์สามยอดเป็นวัดในพุทธศาสนา แล้วสร้างพระวิหารก่อด้วยอิฐ ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาผสมแบบยุโรปในส่วนของประตูและหน้าต่าง ภายในวิหารประดิษฐานพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันยังคงประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง

          เปิด ให้เข้าชม ระหว่างเวลา 06.00-18.00 น. เว้นวันจันทร์-อังคาร อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 50 บาท หรือ สามารถซื้อบัตรรวม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างประเทศ 150 บาท โดยบัตรนี้สามารถเข้าชม วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พระที่นั่งไกรสรสีหราช พระปรางค์สามยอด และบ้านหลวงวิชาเยนทร์
          ทั้งนี้ บริเวณใกล้ ๆ กันริมทางรถไฟด้านทิศตะวันออกของพระปรางค์สามยอด ยังมี ศาลพระกาฬ เทวสถานเก่าของขอม สร้างด้วยศิลาแลงเรียงซ้อนกันเป็นฐานสูง จึงเรียกกันมาแต่ก่อนอีกชื่อหนึ่งว่า "ศาลสูง" ที่ทับหลังซึ่งทำด้วยศิลาทรายสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 วางอยู่ติดฝาผนังวิหารหลังเล็กชั้นบน ณ ที่นี้ได้พบหลักศิลาจารึกแปดเหลี่ยมจารึกอักษรมอญโบราณด้วย

          ส่วนด้านหน้าเป็นศาลที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2494 โดยสร้างทับบนรากฐานเดิม ที่สร้างไว้ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายในวิหารประดิษฐานพระนารายณ์ยืน ทำด้วยศิลา 2 องค์ องค์เล็กเป็นแบบเทวรูปเก่าในประเทศไทย องค์ใหญ่เป็นประติมากรรมแบบลพบุรี แต่พระเศียรเดิมหายไป ภายหลังมีผู้นำพระเศียรพระพุทธรูปศิลาทรายสมัยอยุธยามาสวมต่อไว้ เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป 


  ในบริเวณรอบศาลพระกาฬร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ จึงเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงกว่า 300 ตัว ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของจังหวัดลพบุรี กล่าวกันว่าเดิมบริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นกร่างขนาดใหญ่ มีลิงอาศัยอยู่ เมื่อมีคนนำอาหารและผลไม้มาแก้บนที่ศาลพระกาฬ ลิงป่าเหล่านั้นได้เข้ามากินอาหาร จึงเชื่องและคุ้นเคยกับคนมากขึ้น

          โดยมีตำนานเกี่ยวกับลิงลพบุรีว่าเป็น ลิงสามก๊ก (ฉบับลพบุรี) คือมีถิ่นอาศัยและหากินอยู่ใกล้กัน แต่กลับไม่ถูกกัน ซึ่งแบ่งออกเป็นสามก๊ก คือก๊กแรกจะอยู่ที่ศาลพระกาฬ ก๊กที่สองจะอยู่ที่พระปรางค์สามยอด ก๊กที่สามจะอยู่บริเวณอาคารและตึกร้านค้าต่าง ๆ ในตัวเมืองลพบุรีและสถานีรถไฟลพบุรี


ขอบคุณข้อมูลจาก 
ททท. 
 

ก๋วยเตี๋ยวอโยธยา สูตรต้มยำโบราณรสเด็ด

ในวันที่ได้ไปเที่ยวที่พัทยา ก็ได้แวะไปที่ตลาดน้ำ4ภาคครับ ก็เป็นครั้งแรกที่เคยมาที่นี่ มาถึงที่นี่ก็ดิ่งตรงเข้าไปเลยครับ อากาศที่นี่ดีครับ พื้นที่ติดริมน้ำ ผมเดินไปเรื่อยๆ ของขายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ ของที่ระลึก หรือจะเป็น ร้านอาหารต่างๆ เพียบไปหมดครับ ใครอยากเดินก็เดิน หรือจะนั่งเรือชมวิวก็มีนะ เป็นเรือพายแบบยุคสมัยเก่าเลยครับ แล้วก็ไม่ได้มีแค่นั้น ยังมีบ้านผีสิง ลานการแสดงต่าง ๆ ถือว่ามีครบเลย เหมาะกับชื่อ ตลาดน้ำ4ภาค



 ผมก็เดินไปตามทางเรื่อย ๆ ดูนู่น ดูนี่ ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แต่วันนั้นลำบากหน่อย ฟ้ามืดครึ้มเชียว เดินจนเรียกได้ว่าจะหลงกันเลยทีเดียว งงกับทางเหลือเกิน วนไปวนมา ก็หิวล่ะครับ เลยมองหาร้านอาหารซักร้าน แล้วก็ไปเจอกับร้านก๋วยเตี๋ยวอโยธยา ไม่รอช้าครับดิ่งไปเลย บรรยากาศร้านน่านั่งมากครับ ติดริมน้ำดีครับ วิวสวยเลยทีเดียว ไม่รอช้าครับ ก็เริ่มสั่ง ผมสั่ง"บะหมี่ต้มยำ" เห็นตรงป้ายบอก สูตร ต้มยำโบราณรสเด็ด เลยอยากจะลองดูซิว่าเด็ดจริงไหม

ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ต้มยำ

และนี่คือหน้าตาของ ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ต้มยำครับ มาถึงปุ๊บก็เริ่มลงมือเลย ผมชิมน้ำก่อนปรุง อื้อหือ! อร่อยมากครับ ไม่ต้องปรุงเลยยังได้ กลมกล่อม เปรี้ยว ๆ เส้นก็เหนียว นุ่ม มันๆ มีกากหมูด้วยครับ กรุบกรอบเข้ากันดีเลยล่ะครับ


ตอนแรกกินคนเดียว ตอนหลังเพื่อนอีก2อดใจไม่ไหว เลยต้องสั่ง

ถ้าคุณมาถึงที่นี่ อยากให้ลองเชิญแวะมากันนะครับ ก๋วยเตี๋ยวที่นี่เขารสเด็ดสมชื่อเลยครับ แถมราคายังถูกอีกด้วยนะครับ เพียงชามละ25บาทเองครับ ^^

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เที่ยวเมืองจำลองพัทยา


หลังจากที่ไปวัดญาณสังวรารามเสร็จแล้ว ในวันนั้นเราก็มาที่ เมืองจำลอง MINI SIAM เดินเข้ามานี่แบบ เหมือนเดินข้ามประเทศไปเรื่อยๆ สวยงามดีครับ ต้องกดชัตเตอร์กล้องตลอด เดินมาจุดนี้ถ่าย เดินมาจุดนี้ก็ถ่าย คือไม่ได้วางเลยครับ เดินเข้ามาเจอโซนยุโรป ก็ถ่ายครับ

ซิกแพคใครหนากว่ากันนะ?
ตอนนี้ผมอยู่ที่หอไอเฟลครับ
หอไอเฟล





เหมือนอยู่ที่โรมจริงๆ
เจอสาวแดนอียิปต์อ่ะ     






เมืองจำลองตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท หลักกิโลเมตรที่ 143 เลยสี่แยก ตลาดนาเกลือ ประมาณ 500 เมตร เป็น สถานที่รวบรวมของโบราณสถาน และสถานที่สำคัญ เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานพระราม 9 ปราสาทหินพิมาย ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีมินิยุโรป ซึ่งจำลองสถาปัตยกรรม ที่มีชื่อเสียง ของประเทศต่างๆ ทั่วภาคพื้นทวีปยุโรป และอเมริกา เช่นหอไอเฟล เทพี สันติภาพ แกรนแคนยอน ฯลฯ

 


เมืองจำลอง ก็เกิดขึ้นภายใต้แนวความคิดแบบเดียวกันนี้ โดยคุณเกษม เกษมเกียรติสกุล ซึ่งมีความสนใจ งานศิลปกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้มีโอกาสเดินทาง ไปทำธุรกิจ และทำท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ในหลายประเทศ และในส่วนนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่ได้ไปเยือนแล้ว เกิดความ ประทับใจ จนกระทั่งได้มีโอกาสไปเที่ยวชมที่ Madurodum ประเทศเนเธอแลนด์ และ Window on China ประเทศ ไต้หวัน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้จำลองสถานที่ และสถาปัตยกรรมที่สำคัญของโลกมารวบ รวมไว้ในอัตราส่วน1:25 เพื่อแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม จึงได้เกิดความคิดว่าในเมืองไทยก็มีศิลปะที่มีความ สวยงามไม่แพ้กันรวมทั้ง สถาปัตยกรรม และโบราณสถานทางประวัติศาสตร์อยู่หลายแห่ง  ซึ่งโอกาสที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จะสามารถไปเที่ยวชมในทุกสถานที่นั้นมีน้อยมากแต่ถ้าเรา สามารถรวบรวมสถานที่สำคัญ ๆ เหล่านี้มาจำลองรวมไว้ใน ที่เดียวกัน โดยยังคงรักษารายละเอียดไว้ได้เหมือน สถานที่จริง คงจะทำให้นักท่องเที่ยวรวมทั้งนักเรียน นักศึกษาที่ได้ ้เข้าไปสัมผัส ได้รับรู้คุณค่า และความสวยงาม ของสถาปัตยกรรมไทยได้มากขึ้น หลังจากที่เกิดแนวคิดนี้ คุณเกษม เกษมเกียรติสกุล ได้ใช้เวลากว่า 5 ปีใน การเดินทางไปสำรวจและศึกษาสถานที่ สำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ตลอดจนยังต้องเดินทางไปยังต่างประเทศ เพื่อศึกษา และรวบรวมงานศิลปกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ที่มีความโดดเด่น เพื่อนำสิ่งเหล่านั้นมา ถ่ายทอดผ่านผลงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ์ตามแนวคิดที่ได้ตั้งใจไว้ จนกระทั่งปี พ.ศ.2529 เมืองจำลองจึงเกิด ขึ้นภายใต้แนวคิดดังกล่าวที่ต้องการให้เป็นสถานที่ี่ท่องเที่ยวเชิงวิชาการในพื้นที่ 30 ไร่

 ข้อมูลที่มาของเมืองจำลอง

www.paiduaykan.com